หยั่งรู้ฟุตบอลสเปน #1




การเมือง, เชื้อชาติ, ประเพณี, สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมอยู่ในการแข่งขันกีฬาที่ชื่อว่าฟุตบอลได้จริงหรือ ? เชื่อว่าประเทศที่ฟุตบอลถูกหล่อหลอมด้วยสิ่งที่ไม่ผูกมัดข้างต้นได้อย่างฝังลึกมากที่สุดประเทศหนึ่งนั่นก็คือ 'สเปน

ภาพที่เห็นได้ชัดที่สุดเมื่อมองลงไปถึงความขัดแย้งระหว่างสโมสรในสเปนที่เห็นได้ชัดที่สุดร้อยละ 90 จะต้องเอ่ยปากออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง 'บาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริด' มันไม่ใช่เรื่องแปลก ประวัติศาสตร์ของสองทีมนี้นั้นมีเรื่องราวมากมายให้ขุดคุ้ยและพูดถึง ทั้งเรื่องที่หาข้อพิสูจน์ได้และยังถือเป็นปริศนาที่ไม่จำเป็นต้องมี 'คำตอบ' มารองรับ 

ไม่เพียงแค่การเมืองเท่านั้นที่มีบทบาทสำหรับวงการฟุตบอลแดนกระทิงดุ ทุกองค์ประกอบของมนุษย์ย่อมมีผลทั้งประเพณี ชนชั้นวรรณะของประชาชน และรวมไปถึงที่ตั้งของแคว้นที่มีปัญหาขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดอาทิเช่น คาตาลัน, กาสตีญ่า (เมืองหลวงในปัจจุบัน), บาสก์ ในเขตการปกครองของสเปนนั้นยังมีแคว้นอื่นๆอีกเช่่น กาลิเซีย, อันดราลูเชีย, อารากอน ฯลฯ 

และเมื่อสงครามระหว่างบาร์ซ่าและมาดริดเป็นสิ่งแรกที่เราจะนึกถึงในความขัดแย้งก็ขอสุมไฟเรื่องราวขึ้นมาให้ได้ติดตามกันในบรรทัดต่อไป 

: สงครามประ(หลาด)สาท : 


มันเป็นสงครามที่มีทั้งความประหลาดและเรื่องประสาทให้สมทบคิดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หนึ่งในนักเตะที่สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งโลกรวมไปถึงขยี้ใจแฟนบอลบาร์ซ่าได้ถึงขั้วเส้นเลือดใหญ่เลยนั่นก็คือหลุยส์ ฟิโก้ ! ชื่อของหลุยส์ ฟิโก้มักเป็นชื่อแรกที่สร้างความป่วนประสาทของสาวกกูเล่ได้เป็นอย่างดี 

ในปี 2000 หลุยส์ ฟิโก้ย้ายเข้าสู่ถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิวด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก เวลานั้นและหลังจากนั้นก็ถูกทำลายโดยซีเนอดีน ซีดานและคริสเตียโน โรนัลโด้ตามลำดับ ความรุนแรงหลังจากการย้ายตัวครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้คงอธิบายความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดีสำหรับแฟนบอลบาร์ซ่า 

หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 เดือนหลุยส์ ฟิโก้ก็ได้สวมชุดขาวของเรอัล มาดริดกลับไปสู่คัมป์ นูด้วยบทบาทของศัตรู มันเป็นเกมส์ที่ร้อนระอุดั่งภูเขาไฟที่กำลังปะทุ ในแมตช์นั้นฟิโก้ได้รับของสมนาคุณจากแฟนบาร์ซ่าในมุมธงเตะมุมด้วยก้อนกระดาษ เหรียญ และโทรศัพท์มือถือจำนวน 3 เครื่องด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเลยแม้แต่นิดเดียว

และแมตช์แห่งประวัติศาสตร์ในศึกเอล กลาชิโก้ปี 2002 เดือนพฤศจิกายนได้ถูกกล่าวไว้ว่าเป็น 'Derby of Shame' ศึกดาร์บี้ที่น่าละอาย (หรือในภาษาสเปนคือ Derbi dela Verguenza) คำดังกล่าวบ่งบอกได้ถึงความอัปยศในแมตช์นั้นได้เป็นอย่างดี 


หลุยส์ ฟิโก้ได้รับความเกรี้ยวกราดจากสาวกกูเล่ที่มุมธงอย่างสาหัสเช่นเดิม และดูเหมือนว่าภูเขาไฟแห่งความโกรธยิ่งปะทุหนักมากขึ้นกว่าเดิม ฟิโก้ในยูนิฟอร์มชุดขาวไม่สามารถเตะมุมได้และทำให้ต้องหยุดเกมส์ ตอนนั้นร่วมสิบนาที และสิ่งที่น่าละอายก็คือแฟนบาร์ซ่าได้ขว้างหัวหมู รวมไปถึงขวดวิสกี้ลงมาในสนาม ถึงแม้จะมีหน่วยป้องกันความรุนแรงยืนคุมรอบสนามเหมือนดั่งเกิดสงครามกลางเมืองก็ตาม 

สิ่งที่แย่สำหรับการกระทำของบาร์ซ่าไม่ได้หมดเพียงแค่แฟนบอลบางส่วนในช่วงการแข่งขัน แต่ทว่าหลังจบเกมส์โจน กาสปาสต์ประธานสโมสรบาร์เซโลน่าในเวลานั้นได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "มันเป็นแผนของทางมาดริดที่ให้ฟิโก้มาทำหน้าที่เตะมุม เพราะว่าพวกเขาจะได้ยั่วยุความโกรธของแฟนบอลบาร์ซ่าให้รุนแรงขึ้น

ดูเหมือนว่าประธานสโมสรที่ฉาวโฉ่ที่สุดคนหนึ่งของบาร์ซ่าอย่างกาสปาสต์จะไม่รู้สึกรับผิดชอบและละอายต่อสิ่งที่ได้ออกไปสู่สายตาประชาชนทั้งโลกที่ชมเกมส์กีฬา เวลานั้นอยู่เลย ซึ่งท้ายที่สุดบาร์ซ่าก็ถูกแบนเกมส์ในคัมป์ นูไปทั้งหมด 2 เกมส์หลังจากนั้น 


ปัญหาระหว่างการซื้อขายของสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งสเปนยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เมื่อในปี 1973 โยฮัน ครัฟฟ์นักเตะเทวดาชาวดัตช์ได้ย้ายมาสู่สโมสรบาร์เซโลน่า โดยประเด็นสำคัญคือเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 3 สมัยผู้นี้ได้ปฏิเสธการร่วมทีมเรอัล มาดริดก่อนที่จะมาซบศัตรูอย่างบาร์เซโลน่า ครัฟฟ์ได้ให้เหตุผลสั้นๆเพียงแค่ว่า "ผมไม่อยากร่วมทีมที่เกี่ยวข้องกับนายพลฟรานซิสโก ฟรังโก

ถ้าการย้ายของฟิโก้คือการตัดขั้วหัวใจของแฟนบอลบาร์ซ่าแล้ว การย้ายของหลุยส์ เอนริเก้ก็เจ็บปวดไม่แพ้กันในปี 1996 หลุยส์ เอนริเก้มิดฟิล์ฝีเท้าฉกาจคนหนึ่งของวงการฟุตบอลสเปนได้ย้ายจากทีมเรอัล มาดริดไปสู่บาร์เซโลน่า สิ่งที่แตกต่างจากฟิโก้นั่นก็คือการแสดงออกถึงความเกลียดชังในทีมมาดริดอย่างเปิดเผยของเจ้าตัวนั่นเอง 

หลุยส์ เอนริเก้จะจูบตราสโมสรของบาร์ซ่าแทบทุกครั้งเมื่อเขาทำประตูใส่มาดริดได้ และเขาก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกขยะแขยงเสมอเวลาสวมชุดขาวของทีมจากเมืองหลวง ในงานฉลองครบรอบ 100 ปีของสโมสรเรอัล มาดริดในเดือนกุมภาพันธ์ีปี 2002 นั้น มีเพียงแค่หลุยส์ เอนริเก้คนเดียวเท่านั้นที่เป็นอดีตผู้ค้าแข้งกับทีมราชันย์ชุดขาวและไม่ได้ถูกรับเชิญจากทางสโมสร 

"ผมไม่เห็นจะสนใจไองานเลี้ยงจอมปลอมนั่นเลยสักนิด ผมอยู่ในที่ที่ดีกว่า ผมมีความสุขดีมากที่นี่" เอนริเก้กล่าววาทะแสบคันต่อประเด็นข้างต้นกับสื่อซึ่ีงน่าจะสร้างความป่วนประสาทให้กับสาวกโลส บังโกลสไม่มากก็น้อย 

หากจะกล่าวถึงสงครามระหว่างเรอัล มาดริดและบาร์ซ่าและไม่ได้บรรยายถึงความขัดแย้งระหว่างคาตาลันและนายพล ฟรังโก้ก็คงเหมือนยามบ่ายที่ไม่มีแสงแดด แต่ทว่าประเด็นนี้นั้นละเอียดอ่อนพอสมควร และผู้เขียนต้องขอยกประเด็นนี้ไว้ต่อในตอนต่อไปในแบบเต็มหน้ากระดาษ รวมไปถึงนักเตะประวัติศาสตร์ความขัดแย้งของบาร์ซ่าและมาดริดอย่างลาดิสเลา คูบาล่า และอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่บุรุษผู้สร้างกรณีศึกษาให้กับ FIFA ในตอนต่อไป 


: สังเวียนเดือดของชนชั้นในแคว้นอันดราลูเชีย : 

ความเข้มข้นของวงการฟุตบอลสเปนยังไม่จบเพียงแค่บาร์ซ่าและมาดริด การแบ่งแยกสังคมและชนชั้นเป็นปัญหาอยู่ทั่วโลก และสิ่งนั้นก็มีผลมาถึงความขัดแย้งระหว่างสโมสรเซบีญ่าและเรอัล เบติส คู่ปรับตลอดกาลแห่งแคว้นอันดราลูเชียทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสเปน 

สำหรับเซบีญ่านั้นถูกมองว่าเป็นทีมสำหรับผู้มีฐานะ ร่ำรวยทางการเงิน ตรงกันข้ามเบติสนั้นเปรียบเสมือนทีมสำหรับผู้คนรากหญ้า รวมไปถึงผู้คนในระดับผู้ใช้แรงงาน 

ความบาดหมางครั้งหนึ่งในอดีตนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1940 เมื่อฟรานซิสโก แอนตูเนสผู้จัดการทีมเบติส เวลานั้นได้ออกจากตำแหน่งและไปรับงานเป็นผู้จัดการทีมเซบีญ่าในเวลาต่อมา ! ซึ่งถือเป็นการหักหน้าอย่างรุนแรง ความคับแค้นใจนั้นไม่แตกต่างจากคู่แค้นระดับประเทศอย่างบาร์ซ่าและมาดริดเช่นกัน 

และชนวนเหตุครั้งใหญ่ที่เป็นที่โจทย์จันสำหรับแฟนบอลและสโมสรร่วมแคว้นทั้งสองนี้เลยก็คือเหตุการณ์ในฤดูกาล 98-99 ครั้งที่เซบีญ่ายังทำศึกอยู่ในลีคเซกุนด้า ดิวิชั่น ขณะที่เบติสนั้นกำลังโลดแล่นอยู่อย่างหยิ่งศักดิ์ศรีในลาลีกา 


ในช่วงหนึ่งเดือนก่อนจบฤดูกาลเซบีญ่านั้นกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะคว้าพื้นที่เพลย์-ออฟขึ้นสู่ลาลีกาให้ได้และเซบีญ่าต้องเจอกับสโมสรอัลบาเชเต้ทีมในแคว้นกาสตีญ่า และพวกเขาก็ต้องการชัยชนะ สำหรับแต้มสำคัญสำหรับการก้าวไปอีกขั้นของเป้าหมาย มันไม่ได้เป็นแมตช์ที่พิเศษและถูกจับตามองสักเท่าไหร่ในกระแสคอลูกหนัง แต่ทว่าในเกมส์นั้นมานูเอล โลเปร่าประธานสโมสรของเบติสผู้ชิงชังในตัวสโมสรเซบีญ่าได้ออกกลอุบายว่าเขาจะมอบเงินก้อนโตให้กับนักเตะอัลบาเชเต้หากสามารถทำให้เซบีญ่าไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลาลีกาได้ ! (กลอุบายนี้ราม่อน กัลเดร่อนก็เคยใช้กับบาร์ซ่าเช่นกันผลก็คือบาร์เซโลน่าพลาดแชมป์ลีคให้กับเรอัล มาดริดในปี 2007 ด้วยคะแนนที่เท่ากันแต่เฮดทูเฮดนั้นมาดริดเหนือกว่า

ผลระหว่างเซบีญ่าและอัลบาเชเต้ก็คือ 1-1 ซึ่งสุดท้ายแล้วเซบีญ่าก็ไม่สามารถเข้าสู่รอบเพลย์-ออฟเลื่อนชั้นได้ ! หลังจากเหตุการณ์อื้อฉาวครั้งนี้ทำให้ประธานสโมสรเบติสอย่างโลเปร่านั้นถูกแฟนบอลเซบีญ่าถูกขู่จะเอาถึงชีวิตเลยทีเดียว เลยเป็นเหตุเดือดใจที่ทำให้เขาต้องออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อกับประเด็นการอัดฉีดดังกล่าว 

โลเปร่าได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่างหาเรื่องดังกล่าว ว่าไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่าเขาก็ได้กล่าวต่อไปว่าถึงแม้ต่อให้เป็นความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเขาจะมีเจตนาเช่นนั้นกับสโมสรที่เป็นศัตรูอย่างเซบีญ่า และโลเปร่าก็ได้กล่าววลีเด็ดทิ่มแทงเข้าไปในความโทสะของสาวก 'Los Rojiblancos' ว่า " ผมมีแผนทีเด็ดกว่านั้นที่ผมจะทำและมันก็เป็นสิ่งชอบธรรมที่ผมต้องการ


ในช่วงยุค 90's ถือว่าเป็นยุคตกต่ำของเซบีญ่าเนื่องจากว่าทีมดังอดีตดับเบิ้ลแชมป์ ยูฟ่าคัพนั้นต้องโลดแล่นอยู่ในเซกุนด้า ดิวิชั่นเป็นเวลาร่วมทศวรรษ ขณะเดียวกันทีมรากหญ้าอย่างเบติสก็รุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้นมาด้วยจำนวนเงินและการประสบความสำเร็จในการโลดแล่นในสังเวียนลาลีกา สเปนโดยเฉพาะในฤดูกาล 95-96 นั้นเบติสจบด้วยอันดับที่ 3 ของตารางและได้สิทธิ์ไปเล่นถ้วยยูฟ่า คัพหรือยูโรป้า ลีคในปัจจุบันนั่นเอง 

แต่ถึงอย่างไรก็ตามความมั่งคั่งมั่งมีของเบติสนั้นก็ว่ากันว่ายังไม่สามารถทัดเทียมทีมคู่แค้นอย่างเซบีญ่าได้ และในปี 1998 นั้นเองเบติสก็ได้โชว์ความมั่งคั่งของสโมสรด้วยการคว้าตัวเดนิลสันนักเตะทีมชาติบราซิลด้วยค่าตัวทั้งหมดทั้งสิ้น 22 ล้านยูโร ! ตอกหน้าเซบีญ่าที่ยังอยู่ในเซกุนด้า ดิวิชั่น 

แต่เหมือนว่าทิศทางของทั้งสองสโมสรนั้นกลับตาลปัตร มันเหมือนตลกร้ายสำหรับเบติสเมื่อสิ้นสุดในฤดูกาล 1999-2000 พวกเขากลับต้องตกชั้นไปสู่เซกุนด้า ! แต่กลับกันเซบีญ่าสามารถเอาชนะสโมสรเรอัล โอเวียโดในรอบเพลย์ ออฟและขึ้นสู่ลีคสูงสุดของสเปนอย่างลาลีกาได้สำเร็จภายใต้การคุมทีมของฮัวคิน กาปาลอสปราชญ์ลูกหนังคนหนึ่งของสเปน ซึ่งปัจจุบันคุมทีมแอธเลติก บิลเบาอยู่นั่นเอง

เสียงหัวเราะของสองเมืองได้สลับขั้วกันอย่างมิได้นัดหมาย ของสองทีมคู่แค้นและผลกระทบแห่งการแบ่งแยกชนชั้น ! และในฤดูกาลปัจจุบันที่จะถึงนี้เบติสก็ได้เลื่อนชั้นสู่ลาลีกาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะสนใจในแมตช์นี้เพิ่มมากขึ้นไม่มากก็น้อย ! 

: ศึกนอกและศึกในของบาสก์ คันทรี่ : 


แคว้นบาสก์นั้นว่ากันว่าพวกเขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงและยึดถือในเอกภาพของตัวเองยิ่งกว่าชาวคาตาลันเสียอีก แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่จะพูดถึงในหน้านี้สักเท่าไหร่ 

ต้องขอเกริ่นเล็กน้อยสำหรับแคว้นบาสก์นั้นพวกเขาเป็นแคว้นที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นแคว้นแห่งอุตสาหกรรรม และแหล่งรวมแร่ธาตุต่างๆมากมาย และยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกในบริเวณตัวเมืองบิลเบา พูดถึงแคว้นบาสก์สโมสรที่ลอยเข้ามาในหัวโดยฉับพลันเลยก็คือแอธเลติก บิลเบาและเรอัล โซเซียดัต จริงๆแล้วแคว้นบาสก์ยังมีสโมสรอื่นๆที่น่าสนใจอีกเช่น Arenas และ Real Union สองสโมสรที่ร่วมแข่งการแข่งขันลีคสูงสุดอย่างเป็นทางการตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันในครั้งแรกเลยทีเดียว 

เป็นที่รู้กันว่าบาสก์ก็เป็นหนึ่งในแคว้นที่เป็นปรปักษ์กับทางเมืองหลวงอย่างกาสตีญ่า ฉะนั้นมันก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติที่เมื่อทีมอย่างโซเซียดัตและบิลเบาต้องฟาดแข้งกับมาดริด อารมณ์บรรยากาศของเกมส์ย่อมไม่ใช่แค่อารมณ์ของมนต์เสน่ห์ลูกหนัง 

ชาวบาสก์นั้นได้ถูกนายพลฟรังโกกดขี่ข่มเหงเช่นเดียวกับคาตาลันโดยทั้งการห้ามพูดภาษาบาสก์และร้องเพลงชาติของตนเอง รวมไปถึงห้วงเวลาแห่งความสงสัยของระยะเวลาร่วมประมาณสี่สิบปีที่เป็นปริศนา 

ตั้งแต่ฤดูกาล 1928 จนถึง 1936 ร่วมระยะเวลาประมาณ 8 ฤดูกาลแรกสุดในประวัตศาสตร์ของลีคฟุตบอลสูงสุดในประเทศสเปนนั้น แอธเลติก บิลเบาคว้าได้ถึง 4 ถ้วยในแปดครั้ง และหลังจากสงครามกลางเมืองที่สเปน และการเป็นใหญ่ของนายพลฟรังโกนั้น ร่วมนับ 40 ปี ก่อนสิ้นอายุขัยของนายพล ฟรังโกเลยทีเดียวที่บิลเบานั้นคว้าแชมป์ได้เพียงแค่ 2 ครั้ง ทั้งๆที่ครั้งเมื่ออดีตนั้นบิลเบาเป็นทีมมหาอำนาจทางลูกหนังเหนือกว่าบาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริดเสียอีก


หลังจากการสิ้นลมหายใจของนายพลฟรานซิสโก ฟรังโกในแคว้นบาสก์นั้นได้มีการเฉลิมฉลองกันทั่วแคว้น และได้มีการแต่งเพลงเพลงหนึ่งเกี่ยวกับการจากไปของนายพลฟรังโกขึ้นซึ่งประโยคเริ่มของเพลงนั้นจะขึ้นต้นด้วยคำว่า 'He flew He flew ...' ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากนั้นเมื่อเรอัล มาดริดต้องออกมาเยือนทีมอย่างบิลเบา หรือโซเซียดัตก็ตามทีเพลงมาร์ชอย่างไม่เป็นทางการนี้ก็จะถูกร้องโดยพร้อมเพรียงกัน 

ว่ากันว่าครอบครัวใดที่มีลูก พ่อและแม่จะร้องเพลงดังกล่าวเพื่อเป็นการกล่อมลูกนอนในแต่ละคืนเลยทีเดียว และมันจะยิ่งเพิ่มความไพเราะขึ้นไปอีกถ้าหากในวันถัดไปจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมของพวกเขากับมาดริดขึ้นในแคว้นบาสก์

ศึกนอกของแคว้นบาสก์ยังมีประเด็นที่กล่าวขวัญถึงปัจจุบันอีกนั่นก็คือการคว้าแชมป์ลีคสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเรอัล โซเซียดัตในฤดูกาล 1980-1981 เหนือเรอัล มาดริดซึ่งมีคะแนนเท่ากันอยู่ 45 คะแนนแต่ต้องชอกช้ำใจอย่างเจ็บปวดเนื่องจากกฏเฮดทูเฮดที่โซเซียดัตนั้นดีกว่า 


เหตุการณ์ยังไม่ชอกช้ำเพียงแค่ข้างต้น ในแมตช์สุดท้ายของโซเซียดัตนั้นจะต้องออกไปเยือนทีมสปอร์ตติ้ง กิฆอนในถิ่นเอล โมลินอนในทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสเปน ก่อนเกมส์แมตช์ประวัติศาสตร์นี้จะเริ่มขึ้นนั้นเรอัล มาดริดได้คว้าสามแต้มสำคัญแซงหน้าไปเป็น 45 แต้มเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงแค่โซเซียดัตไม่สามารถคว้าชัยชนะเหนือกิฆอนได้ในเกมส์นี้ราชันย์ ชุดขาวก็จะเป็นฝ่ายเปล่งเสียงแห่งชัยชนะออกมา แต่ทว่า .. โชคชะตาไม่ได้ลิขิตเช่นนั้น 

เฆซุส ซาโมร่ามิดฟิลด์ของโซเซียดัตผู้ซึ่งได้ถูกยกย่องเป็นหนึ่งในนักเตะตำนานของสโมสรโซเซียดัตในเวลาถัดมา ได้เป็นผู้ทำประตูชัยในเกมส์นั้นให้โซเซียดัตเอาชนะกิฆอนไปได้ด้วยสกอร์ 1-2 และการทำประตูของซาโมร่านั้นเกิดขึ้นก่อนหมดเวลาการแข่งขันเพียงแค่ 12 วินาที !!! เสียงเฮแห่งความปิติยินดีของชาวซาน เซบาสเตียนได้ดังกระหึ่มร่วมระยะทาง 150 ไมล์จนถึงสนามเหย้าของสปอร์ตติ้ง กิฆอนเลยก็ว่าได้ 

เหตุการณ์นั้นก็ทำให้โซเซียดัตคว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรเหนือทีมอย่างเรอัล มาดริดได้ อารมณ์ของแฟนบอลชาวบาสก์ความปิติยินดีของพวกเขาว่ากันว่าลูกยิงของซาโมร่าทำให้ความเจ็บปวดคับแค้นใจบนรอยยิ้มของฟรังโกตลอด 40 ปีที่ผ่านมานั้นเลือนหายไปในพริบตา 

ถึงแม้นว่าผู้คนจากซาน เซบาสเตียนและบิลเบาจะมีความสามัคคีกันในเรื่องของการเมืองการปกครอง แต่ในโลกของวงการลูกหนังย่อมมีข้อยกเว้น แอธเลติก บิลเบาและเรอัล โซเซียดัตถือว่าเป็นศัตรูคู่แข่งร่วมแคว้นบาสก์กันอย่างชัดเจน สงครามในสังเวียนลูกหนังที่ปะทุมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งนั้นก็คือการย้ายตัวของดาวรุ่งพรสวรรค์สูงเลือดบาสก์อย่างโฆเซบา เอ็กเซเบร์เรีย 


ในปี 1995 ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเอ็กเซเบร์เรียได้ลงเล่นให้กับโซเซียดัีตอย่างเป็นทางการนัดแรกกับสโมสรสปอร์ตติ้ง กิฆอนโดยเจ้าตัวได้ยิงให้กับทีมต้นสังกัดทั้งสิ้น 2 ประตูและทำให้ทีมได้รับชัยชนะ ด้วยอายุที่แม้แต่เข้าสถานเริงรมย์ก็ยังผิดกฏหมาย 

แต่ทว่าเหตุการณ์สำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อในปี 1996 เอ็กเซเบร์เรียวัย 18 ปีได้ย้ายสู่ทีมคู่ปรับร่วมแคว้นบาสก์อย่างบิลเบาด้วยค่าตัว 3 ล้านยูโรซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดในการซื้อขายนักเตะอายุเพียงแค่ 17 ย่าง 18 ปีในช่วงเวลานั้น

สถานะเอ็กเซเบร์เรียนั้นไม่แตกต่างจากหลุยส์ ฟิโก้เลยแม้แต่น้อย แฟนบอลโซเซียดัตต้อนรับเค้าด้วยเพลงที่เต็มไปด้วยคำสบถ ภาพวาดล้อเลียนต่างๆนาๆ และที่ระอุที่สุดคงหนีไม่พ้นในปี 2001 เมื่อบิลเบาต้องไปเยือนถิ่นซาน เซบาสเตียนของโซเซียดัต เอ็กเซเบร์เรียทำสองประตูให้บิลเบาคว้าชัยชนะเหนือโซเซียดัตเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี

หลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมส์ .. มันเป็นไปตามสิ่งที่แทบไม่ต้องคาดเดา แฟนบอลโซเซียดัตต่างเปล่งเสียงพร้อมคำหยาบด่าทออดีตนักเตะของตัวเอง พร้อมใจกันเขวี้ยงกระดาษและขวดน้ำ ด้วยโทสะ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โซเซียดัตต้องเสียค่าปรับร่วมแสนยูโรเป็นสิ่งตอบแทนต่อการกระทำ 

คำว่า 'ฟุตบอลการเมือง' ในดินแดนกระทิงดุไม่ได้มาจากสิ่งลวงหลอก แต่มันมาจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ชนชั้นวรรณะ ประเพณี บทบาททางการเมืองของสเปนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลตั้งแต่อดีตตราบจนถึงปัจจุบันและยังไม่หายไป 

สนับก้นของอเฟลลาย ?

" การได้ลงเล่นกับบาร์เซโลน่าคือความฝันของผม " วาทะสุดฮิตที่เหล่าบรรดาผู้ค้าแข้งทั้งหลายต่างต้องกล่าวก่อนที่จะได้เซ็น สัญญากับสโมสรใหม่ และอิบราฮิม อเฟลลายก็เป็นหนึ่งในนั้น ! แต่กล่าวใช่ประเด็น

นักเตะชาวดัตช์วัย 24 ปีผู้นี้ได้ย้ายมาสู่สโมสรบาร์เซโลน่าอย่างเป็นทางการในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ที่มีข่าวคราว ต้องชื่นชมสปอร์ต ไดเรคเตอร์ของทีมคนใหม่อย่าง 'อันโดนี่ ซูบีซาเรตต้า' และประธานสโมสรคนปัจจุบัน 'ซานโดร โรเซลล์' ที่ทำให้การเจรจาครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยสมบูรณ์และรวดเร็ว หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากเป๊ป กวาร์ดิโอล่าว่าอเฟลลายคือความต้องการของเขา !

อิบราฮิม อเฟลลายเป็นนักเตะคนที่ 7 จากสโมสร PSV ที่ได้ย้ายสู่บาร์เซโลน่า และแข้งชั้นนำก่อนหน้านั้นร่วมด้วย

http://img254.imageshack.us/img254/1908/ream2.jpg

1. โรนัล คูมัน : ตำนานกองหลังชาวดัตช์ของบาร์เซโลน่าผู้ซึ่งอยู่ในยุคเอล ดรีมทีมของโยฮัน ครอยฟ์และคูมันยังเป็นกองหลังที่ถือได้ว่าทำประตูเยอะที่สุดในโลก และยังเป็นผู้ยิงให้บาร์เซโลน่าเอาชนะซามพ์โดเรียในรอบชิงชนะเลิศถ้วยยูโร เปี้ยนคัพในปี 92's ซึ่งถือว่าเป็นการคว้าถ้วยยุโรปครั้งแรกของทีมเลือดหมูน้ำเงิน คูมันค้าแข้งกับบาร์ซ่าทั้งสิ้น 6 ปี

2. โรมาริโอ้ : ศูนย์หน้าดาวยิงรูปร่างมะขามป้อมผู้ซึ่งย้ายสู่บาร์เซโลน่าในปี 1993 ในช่วงปลายยุคของเอล ดรีมทีม โรมาริโอทำประตูให้บาร์ซ่าไปทั้งหมด 53 ประตูใน 84 แมตช์การแข่งขัน ค้าแข้งในถิ่นคัมป์นู 2 ปีด้วยกัน

3. โรนัลโด้ : ศูนย์หน้าที่ถือยกย่องกว่าเป็นหนึ่งนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกเจ้าของฉายา 'เหยินใหญ่' (ในไทย) อยู่กับสโมสรบาร์ซ่าเพียงแค่ 1 ฤดูกาลเท่านั้นในปี 1997 โรนัลโด้ลงเล่นทั้งหมด 51 เกมส์และทำประตูไปทั้งหมดทั้งสิ้น 47 ประตูถือว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรบาร์เซโล น่า

4. โคคู : อดีตนักเตะชาวดัตช์ขวัญใจสาวกกูเล่ผู้ซึ่งเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์เล่นได้ หลากหลายตำแหน่ง โคคูลงเล่นให้กับบาร์ซ่าทั้งหมด 292 แมตช์ และโคคูก็ยังเป็นนักเตะต่างชาติที่ลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่ามากที่สุดใน อันดับของสโมสรอีกเช่นกัน โคคูค้าแข้งให้กับบาร์ซ่าในปี 1998-2004

5. เซนเด้น : เฉกเช่นเดียวกับโคคู เซนเด้นย้ายมาสู่บาร์ซ่าในปี 1998 ค้าแข้งอยู่ในถิ่นคัมป์ นูเป็นเวลา 3 ฤดูกาลก่อนที่จะย้ายไปสู่ทีมสิงโตน้ำเงินคราม 'เชลซี'

6. มาร์ค ฟาน บอมเมล : มิดฟิลด์พันธุ์ดุผู้นี้ย้ายสู่บาร์ซ่าในปี 2005 ด้วยระบบฟรีเอเยนต์ บอมเมลค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นูเพียงแค่ 1 ฤดูกาลซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จกับบาร์ซ่าทั้งแชมป์ลาลีกา ลีคและยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีค


อดีตนักเตะจาก PSV ทั้งหมด 6 คนข้างต้นที่กล่าวมาถือได้ว่าเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จกับบาร์เซโลน่า ทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย และไม่ถึงขั้น 'ล้มเหลว' แต่สำหรับนักเตะใหม่แกะกล่องพร้อมผูกโบว์อย่างอเฟลลายยังเป็นข้อสงสัย ? รวมไปถึงการเสริมทัพครั้งนี้ยังชวนผูกคิ้วเป็นรูปโบว์ให้กับแฟนบอลหลายคนว่า อเฟลลายจำเป็นจริงๆหรือสำหรับบาร์ซ่า !? การเสริมทัพของกวาร์ดิโอล่าครั้งนี้จะเป็นที่ประทับใจหรือไม่ !? และจะเป็นการปิดโอกาสจากเหล่าอาซูลกราน่าน้อยจากชุด B หรือเปล่า !? คำตอบในบรรทัดพิมพ์ต่อไปคงแก้ไขข้อฉงนใจของใครต่อหลายใครได้ไม่มากก็น้อย ครับ ..

http://vr21.es/wp-content/uploads/2009/02/ibrahim-afellay.jpeg

บทที่หนึ่ง : ความจำเป็น ?

อเฟลลายเป็นหนึ่งในนักเตะจากความต้องการของ โจเซป กวาร์ดิโอล่าหัวเรือใหญ่ของทีม และเขาก็ได้ถูกกล่าวต้อนรับจากอันโดนี่ ซูบีซาเรตต้าว่า " อเฟลลายเป็นนักเตะที่มีสไตล์ที่เข้ากันกับบาร์ซ่า การเคลื่อนไหวและสไตล์การเล่นของเขาทำให้ผมนึกถึงอันเดรียส อิเนียสต้า เขามีความเร็วในตำแหน่งปีกและสามารถทดแทนในตำแหน่งมิดฟิลด์ได้เช่นกัน "

ข้อความข้างต้นทำให้จับมาแตกเป็นประเด็นได้ว่าอเฟลลายนั้นสามารถลงเล่นให้ กับบาร์ซ่าได้สองตำแหน่งนั่นคือในตำแหน่งปีกซ้ายหรือขวา ซึ่งในแผงกองหน้าของบาร์ซ่าในฤดูกาลนี้นั้นตำแหน่งปีกซ้ายตายตัวส่วนใหญ่จะ ตกอยู่ที่ดาวิดบีญ่า และในตำแหน่งปีกขวาซึ่งคนส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นหลักปักฐานของเมสซี่เท่านั้น แต่ทว่าในฤดูกาลนี้หากสังเกตุกันจริงๆแล้ว เมสซี่นั้นได้ยืนในส่วนของตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าบ่อยครั้งด้วยซ้ำไป (กวาร์ดิโอล่าได้ลองใช้เมสซี่เล่นในตำแหน่งนี้ตั้งแต่ฤดูกาลที่ผ่านมาหลัง จากที่ซลาตันโดนไล่ออกในแมตช์กับอัลเมเรีย)

ซึ่งหากจับเมสซี่ไปอยู่ในตำแหน่งของหน้าเป้า และเปโดรในตำแหน่งปีกขวา ก็จะทำให้ในทีมชุดใหญ่ของบาร์ซ่านั้นมีสำรองในตำแหน่งกองหน้าเพียงแค่ 2 คนด้วยกันนั่นก็คือโบยาน และเจฟเฟรน และหากรวมชื่อของอเฟลลายเข้าไปด้วยแล้วก็จะครบตามตำแหน่งกองหน้า 3 คนของบาร์ซ่าพอดิบพอดี คำถามต่อมาก็คือถึงแม้นว่าจะมีตัวสำรองทดแทนกันทั้งสามตำแหน่งก็ใช่ว่าอเฟล ลายจะได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ ?

ผู้เขียนบอกได้เพียงแค่ว่าหากอเฟลลายปรับตัวเข้ากับบาร์ซ่าได้เร็วเท่าไหร่ เขาจะมีโอกาสลงสนามได้สูงกว่าโบยานและเจฟเฟรนด้วยซ้ำไป ด้วยวัย 24 ปีมีประสบการณ์การค้าแข้งกับสโมสรที่พอสมควรและจากทีมชาติชุดใหญ่บวกเพิ่ม เข้าไป แค่นี้ก็ทำให้ % ที่อเฟลลายจะเป็นตัวเลือกที่อยู่เหนือเปโดร เจฟเฟรน และโบยาน สามนักเตะจากลา มาเซียก็เป็นไปได้มากอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าระบบทีมของเป๊ปจะยืนพื้นไปด้วยนักเตะจากลา มาเซียก็ตาม

โบยาน เคร์คิซกำลังอยู่ในช่วงดาวรุ่งที่เค้นหาฟอร์มและแนวทางของตัวเอง เขาเป็นนักเตะที่ขยันมุทะลุ แต่ยังหาจุดเด่นที่แน่ชัดของตัวเองออกมาไม่เจอ พร้อมกับฟอร์มที่ขาดมั่นใจในการทำประตูตอนนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจที่บาร์ซ่าจะเสริมนักเตะในตำแหน่งกองหน้า คนใหม่เข้ามา รวมไปถึงฟอร์มของเจฟเฟรน ซัวเรสที่ยังทำอะไรไม่เป็นรูปเป็นร่างเสียทีกับทีมบาร์ซ่าชุดใหญ่และปัญหา ของนักเตะสายเลือดเวเนซูเอล่าผู้นี้ที่ประสบในซีซั่นท์นี้ก็คืออาการบาดเจ็บ ที่รบกวนอยู่ตลอดเวลาจำเป็นให้เป๊ปต้องเสริมศักยภาพในแดนหน้าสำหรับการ ป้องกันแชมป์ลีค พร้อมด้วยการไล่ล่าถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีค และโคปา เดล เรย์

และสุดท้ายที่น่าสนใจในประเด็นคำพูดกล่าวขวัญอเฟลลายของซูบีซาเรตต้านั่นคือ " เขาเป็นนักเตะที่มีสไตล์คล้ายอิเนียสต้า และสามารถเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ได้ รวมไปถึงการยิงไกลในระยะแถวสองที่ทรงพลัง "

ระยะแถวสองที่ขาดหายไปของบาร์ซ่าหากอเฟลลายสามารถมาเติมเต็มตรงนี้ได้อย่าง สมบูรณ์เขาก็จะเป็นนักเตะที่ได้รับโอกาสสำหรับเป๊ป กวาร์ดิโอล่ามากขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยสไตล์การเล่นที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลแล้ว หากอเฟลลายทำให้ความอันตรายของระยะแถวสองในเกมส์รุกของบาร์ซ่าน่ากลัวขึ้น ก็ไม่ควรปฏิเสธที่เขาน่าจะได้มีโอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอในตำแหน่งปีกก็ดี หรือในตำแหน่งมิดฟิลด์ก็ดีในยามที่อิเนียสต้าเจ็บ หากแต่เป๊ปยังไม่ดื้อดึงใช้งานมิดฟิลด์ทีมชาติมาลีอย่าง 'เซดูร์ เกต้า' ผู้ซึ่งเป็นที่พะว้าพะวงของเหล่าสาวกกูเล่ !

http://media.onsugar.com/files/2010/08/34/2/342/3425287/dd6cf129e09e54f6_Malaga_v_Barcelona_La_Liga_KQNIB4ADuy2l.xxlarge.jpg

บทที่สอง : กวาร์ดิโอล่ากับตลาดซื้อขายนักเตะ ?

นักเตะที่ได้รับการโหวตจากแฟนบอลว่าคุ้มที่ สุดในการซื้อตัวของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าในการคุมทีมฤดูกาลแรกนั่นคือ 'เคราด ปิเก้' ที่บาร์เซโลน่าซื้อตัวมากจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยราคาประมาณ 4-5 ล้านยูโร รวมไปถึงดาเนียล อัลเวสก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันแต่ด้วยราคา 32 ล้านยูโร + ออฟชั่นความสำเร็จ ทำให้ความคุ้มค่าตกไปอยู่ที่ปิเก้ตามความเหมาะสม

ในฤดูกาลต่อมาถือว่าเป็นฤดูกาลที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าถูกตำหนิติติงจากการเสริมทัพมากที่สุดก็ว่าได้บาร์ซ่าทุ่มเงิน กระชากซลาตัน อิบราฮิโมวิชด้วยมูลค่ารวมทั้งหมดทั้งสิ้นราวๆ 60 ล้านยูโรซึ่งเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร รวมไปถึงค่าเหนื่อยของชาวสวีดิชผู้นี้เช่นกัน และประการหลังดีกรีปริญญาโทชาวยูเครนดิมิโทร ชีกรินสกี้วัย 22 ปีด้วยราคาประมาณ 22 ล้านยูโร ทั้งสองนักเตะถือเป็นความล้มเหลวในการเสริมทัพของกวาร์ดิโอล่าทั้งสิ้น และนักเตะที่ได้รับผลโหวตจากแฟนบอลว่าเป็นการเสริมตัวที่ดีและคุ้มค่าที่สุด ก็เป็นของ 'แม๊กซ์เวล อันดราเด้' แบคซ้ายชาวบราซิเลียนที่ย้ายมาจากอินเตอร์ มิลานด้วยราคาค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 3-4 ล้านยูโรเพียงเท่านั้น !!

มาถึงฤดูกาลนี้บาร์ซ่าเสริมทัพนักเตะเพียงแค่สามคนเท่านั้นนั่นก็คือ 'ฮาเวียร์ มาสเคราโน่' ในราคาประมาณ 20 ล้านยูโร ดาวิด บีญ่าร่วม 40 ล้านยูโร และอาเดรียโน่ คอเรียอาร์ประมาณ 4-5 ล้านยูโร (ขออภัยหากข้อมูลค่าตัวนักเตะตรงนี้ผิดพลาด) กล่าวถึงคนแรกก็คือมาสเคราโน่ซึ่งบทบาทของมิดฟิลด์ตัวรับชาวอาเจนไตน์ผู้นี้ ก็ยังอยู่ในม้านั่งสำรองมากกว่าการได้ลงเล่นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ สำหรับในส่วนของดาวิด บีญ่านั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรสักเท่าไหร่ ด้วยสไตล์การเล่นที่ถนัดคัดแข้งกับสังเวียนลาลีกา และในนามทีมชาติกับการอยู่ในทีมที่รายล้อมไปด้วยนักเตะจากทีมเลือดหมู น้ำเงิน และการจากไปของซลาตันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ดาวิด บีญ่าจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงตั้งแต่แมตช์แรก และฟอร์มของเขาก็ไม่มีเครื่องหมายคำถามในตัวจากแฟนบอลเช่นกัน และสุดท้ายกับอาเดรียโน่แบคบราซิเลียนจากเซบีญ่าผู้ซึ่งถูกดึงตัวมาเป็นแบ คอัพในตำแหน่งแบคซ้ายแบคขวาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เขาจะไม่ได้รับโอกาส ที่มากพอสมควรในซีซั่นท์นี้

และด้วยเหตุผลของทั้งมาสเคราโน่และอาเดรียโน่นั้น เป็นเหตุซึ่งนำมาสู่ข้อสงสัยถัดมากับนักเตะคนใหม่อย่างอเฟลลายว่าเขาจะได้ลง เล่นหรือ ? หรือทว่าการมาคัมป์ นูครั้งนี้ของอเฟลลายควรจะนำสนับก้นติดตัวมาด้วยในฐานะผู้นั่งเล่นในซุ้มม้า นั่งสำรอง

หากได้พินิจน์พิเคราะห์ในบทที่หนึ่งแล้วผู้อ่านน่าจะได้คำตอบจากข้อสงสัยนี้ เพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ในบทนี้สำหรับการซื้อขายแล้ว หากดูจากราคาค่าตัวของอเฟลลายในราคาที่ประมาณ 3-5 ล้านยูโรกับนักเตะที่เป็นที่จับตามองจากหลายๆทีมชั้นนำในยุโรปอย่างแมนเชส เตอร์ ยูไนเต็ด และอาเซนอล ก็ถือว่าคุ้มค่าในระดับหนึ่งแล้วแม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ได้ลงสัมผัสเกมส์ใน คัมป์ นูพร้อมเสื้อสีเลือดหมูน้ำเงินเลยก็ตามที ..

ต่อมากับการคิดต่อยอดการซื้อขายครั้งนี้ (อาจจะ!!) มีผลทำให้บาร์ซ่านั้นหยุดชะงักการทุ่มเงินซื้อเชส ฟาเบรกัสเลยก็เป็นได้ เมื่อโครงสร้างที่คิดไว้สำหรับเชส ฟาเบรกัสนั่นคือในตำแหน่งกองกลาง และโยกอิเนียสต้าไปเป็นปีกตามสมรรถภาพ ก็ย่อมไร้ข้อสงสัย

แต่เมื่ออเฟลลายมาเสริมในตำแหน่งปีกซ้าย ! และสามารถลงเล่นสลับตำแหน่งกับอันเดรียส อิเนียสต้าได้อีกเป็นทางเลือกเสริม ! ทำให้จากการมองดูภาพรวมตรงนี้ % การเสริมตัวเชส ฟาเบรกัสเริ่มน้อยลงไปอย่างไร้ข้อสงสัย หากจะคิดไปถึงการจำกัดงบประมาณการเสริมทีมของบาร์ซ่าด้วยยิ่งเป็นไปได้ หากการบริหารของซานโดร โรเซลล์ต้องการจำกัดงบประมาณอย่างจริงจัง และไม่ต้องการทุ่มซื้อนักเตะคนไหนด้วยราคาที่สูงเกินกว่าความจำเป็นเกินไป อย่างเช่นในรายของเชส ฟาเบรกัสที่ค่าตัวในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาสูงชรูดไปถึงมากกว่า 50 ล้านยูโร ก็หวังได้แต่ว่าอเฟลลายจะมาเติมเต็มในจุดตรงนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับนักเตะที่รอวันเฉิดฉายจากชุด B อย่างเธียโก้ อัลคานทาร่า และโจนาธาน ดอส ซานโตส !!


http://img593.imageshack.us/img593/2640/3271large.jpg

บทที่สาม : ความหวังของนักเตะชุด B ?

เป็นคำถามที่ออกมาจากเหล่าสาวกแฟนบอลบาร์ซ่าว่าการเสริมตัวอเฟลลายจะไม่เป็นการปิดกั้นโอกาสของเหล่านักเตะจากชุด B หรืออย่างไร ?

ยอม รับตามตรงครับว่ามีส่วนแต่คงไม่ทั้งหมด โคปา เดล เรย์ยังเป็นเวทีที่เป๊ปกวาร์ดิโอล่ายังใช้เด็กปั้นของทีมให้ได้มาโอกาสเต็ม ที่ในการวาดลวดลายบนพื้นสนามและพิสูจน์ตัวเอง แต่ในทัวร์นาเมนต์สำคัญๆของฤดูกาลนี้อย่างลาลีกา และแชมป์เปี้ยนลีค ก็เห็นได้ชัดว่าเป๊ปนั้นยังเลือกใช้งานนักเตะจากชุด B ไม่มากสักเท่าไหร่ การบาดเจ็บของมิลิโต้และการย้ายตัวของมาเกวซและชีกรินสกี้ ก็ทำให้ตำแหน่งกองหลังตัวกลางนั้นดูบอบบางลง ก่อนหน้านี้สื่อต่างๆก็ได้คาดเดาว่านักเตะที่น่าจะขึ้นสู่ชุดใหญ่มาเป็นแบ คอัพให้กับปูโยลและปิเก้น่าจะเป็นโอกาสของแอนดรูว์ ฟอนทาส แต่กลับกัน ! เป๊ปยังเลือกใช้นักเตะในทีมชุดใหญ่อย่างเอริค อบิดัลในตำแหน่งแบคซ้ายหุบเข้ามาเล่นในตำแหน่งประการหลังตัวกลางแทนที่

ซึ่งคอมเมนต์จากบรมครูของเป๊ปอย่างโยฮัน ครอยฟ์ก็ได้บอกว่าเป็นการทำที่ยอดเยี่ยมมาก เป๊ปรู้คุณภาพของนักเตะในทีมเป็นอย่างดีและรู้ช่วงจังหวะโอกาสของเด็กจากชุด B ว่าควรจะได้รับโอกาสและใช้งานในตอนไหนอย่างไร การใช้งานจากเด็กชุด B ของกวาร์ดิโอล่าในฤดูกาลนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ในตำแหน่งกองกลางอย่างเธียโก้ เป็นหลัก ในส่วนของโจนาธานนั้นหลากหลายคนเอ่ยถามว่าทำไมเป๊ปถึงยังไม่เรียกขึ้นชุด ใหญ่อย่างเต็มตัวสักที !? โจนาธานนั้นยังคงปักหลักอยู่ในชุด B เป็นกำลังหลักให้กับทีมเล่นในเซกุนด้า ดิวิชั่น

จากการสังเกตุในระยะหลังนั้นเป๊ปมักจะใช้โจนาธานเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัว รับ เป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับโอกาสในฤดูกาลนี้อย่างที่แฟนบอลหวังไว้ เพราะในตำแหน่งนั้นมีนักเตะยืนพื้นหลักอยู่แล้วอย่างเซอร์จิโอ บุสเก็ตส์และฮาเวียร์ มาสเคราโน่ก็เป็นตัวสำรองที่แข็งแกร่ง อาจจะรวมไปถึงเซดูร์ เกต้าก็ย่อมได้กับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่สามารถทดแทนกันได้ และนี่ก็น่าจะเป็นเหตุสำหรับโอกาสของโจนาธาน

กลับเข้าสู่การมาของอเฟลลายนั้นจะเป็นการปิดโอกาสจากนักเตะชุด B หรือไม่ ? โดยส่วนตัวแล้วนั้นคิดว่ายังไม่ใช่การปิดโอกาสจากนักเตะชุด B เสียซะทีเดียว หากมองในภาพ ณ ตอนนี้ว่าอเฟลลายเป็นนักเตะที่เป็นแบคอัพให้กับดาวิด บีญ่าและอันเดรียส อิเนียสต้า ในตำแหน่งการเล่นของเธียโก้นั้นสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งของชาบี้และอิ เนียสต้า ซึ่งนักเตะสายเลือดบราซิลลูกชายของมาซินโญ่อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลชุด แชมป์โลกปี 94's ผู้นี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากนักสำหรับโอกาสในทีมชุดใหญ

ในส่วนของกองหน้านั้นยังเป็นปัญหา 'โนลิโต้' นักเตะวัย 24 ปีเท่ากับอเฟลลายในทีมชุด B ที่โชว์ฟอร์มได้ประทับใจในแมตช์ที่บาร์ซ่าเสมอกับมายอว์ก้าในบ้านและในแมตช์ กับเซอูต้าในศึกโคปา เดล เรย์ นับว่าเป็นนักเตะที่มีเสียงจากแฟนบอลอยู่หนาพอสมควรสำหรับโอกาสที่จะได้รับ ในการขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ถึงแม้ว่าโนลิโต้นั้นจะไม่ได้เป็นนักเตะที่อยู่กับลา มาเซียมาตั้งแต่เด็ก แต่ฟอร์ม ณ ตอนนี้ก็น่าสนใจสำหรับการผลักดันขึ้นมาสู่ชุดใหญ่

มองในความเป็นจริงก็น่าเสียดายพอสมควรครับ อเฟลลายมีดีกรีที่ดีกว่าในวัยที่เท่ากันหากเขาสามาถปรับตัวได้เร็วและสร้าง ฟอร์มที่ประทับใจให้กับบาร์ซ่าโอกาสของทั้งโนลิโต้ในทีมชุดใหญ่ก็น่าจะ ริบหรี่ลงไปเช่นเดียวกัน รวมไปถึงในรายของเจฟเฟรน ซัวเรสที่พ่อของเขาออกมาเรียกร้องเป๊ป กวาร์ดิโอล่าสำหรับโอกาสในทีมชุดใหญ่ที่ควรจะมากกว่านี้ แต่หากฟอร์มยังคงที่ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเกมส์รุกบาร์ซ่าได้ มากกว่าที่ควรจะเป็นเช่นนี้ โอกาสของปีกจากเตเนริเฟ่ผู้นี้ก็คงจะหมดไปเช่นเดียวกัน !

เหนือสิ่งอื่นใดการมาของอเฟลลายครั้งนี้ เชื่อว่าย่อมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของบาร์เซโลน่าในตามที่ เขียนไว้ข้างต้นอย่างแน่นอน ซึ่งความจริงและโมเมนตัมของการซื้อขายก็ดีหรือในทีมชุด B ก็ดี และรวมไปถึงประเด็นว่านักเตะชาวดัตช์ผู้นี้จะต้องเตรียมสนับก้นในถิ่นคัมป์ นูหรือไม่ !! จะเป็นอย่างไรต้องติดตามความจริงในช่วงมกราคมที่จะถึงนี้กับนักเตะใหม่ของ บาร์เซโลน่าที่ชื่อว่าอิบราฮิม อเฟลลาย !!

คารวะ Pep's Team # 1

http://barcelona.theoffside.com/files/2010/01/PepMosaic.jpg

นานมาแล้วที่ผมคนนี้ไม่ได้เขียนบทความออกสู่สาธารณะทั้งในบอร์ด SS ก็ดีหรือในเวปแฟนคลับบาร์เซโลน่า ไทยแลนด์ก็ดี แต่ในวันนี้ซึ่งถือว่าผลฟุตบอลลาลีกา สเปนฤดูกาล 09/10 ได้จบลงอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ก็ขอถือโอกาสมาเขียนเรียบเรียงสรุปผลงาน ของทีม 'บาร์เซโลน่า' ทีมรักของผมซะหน่อย ในฐานะที่อยากเขียนสาธยายในความเป็นกลางที่ไม่ใช่แฟนบาร์ซ่า

คงเป็นที่ทราบดีกันทั่วประเทศไทยและทั่วโลกแล้วนะครับ ว่าทีมที่ได้ครองแชมป์ลาลีกา สเปนปีนี้คือทีมเมืองหลวงแห่งแคว้นคาตาลุนญ่า 'FC Barcelona' ซึ่งต้องยอมรับครับว่าปีนี้เป๊ป ทีมได้สร้างอะไรที่สะเทือนวงการฟุตบอลสเปน อีกแล้ว ! ถึงแม้นว่าการประสบความสำเร็จในปีนี้จะไม่เป็นที่พอใจสำหรับแฟนๆบางกลุ่มที่มองว่าด้วยศักยภาพทีมเช่นนี้ ทัพอาซูลกราน่าควรทำได้มากกว่าแค่ 1 แชมป์ หากไม่นับถ้วยสแปนิช ซุเปอร์คัพ, ยูฟ่า ซุปเปอร์คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพที่ทั้งสโมสรดันไปนับรวมกับแชมป์ปีที่แล้วเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ 6 Champions ที่ต้องจารึกไว้ในวงการลูกหนังโลก

Pep's Team ที่ถ้วยรางวัลน้อยลงกลับไม่ได้ลดคุณภาพที่ยิ่งหย่อนไปจากฤดูกาลที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะมีคำสบประมาทที่ว่าคุณภาพของทีมในปีนี้เกินครึ่งมาจากชายผู้ชื่อว่า 'ลีโอเนล เมสซี่' นั่นเป็นสิ่งทีสาวกกูเล่ยอมรับว่าเมสซี่คือส่วนสำคัญ แต่ตราบใดที่ฟุตบอลยังเล่นกันเป็นทีม 11 คน คำพูดเหล่านี้มันก็คงไม่มีน้ำหนักมาพอที่จะตัดสินว่าเมสซี่คือทุกสิ่งทุกอย่างเกินครึ่งของทีมบาร์เซโลน่าชุดนี้

ในหน้าบทความนี้จะขอละเว้นการวิเคราะห์และอธิบายสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไปจากซีซั่นท์ที่ผ่านมาของ Pep's Team เนื่องจากว่าสิ่งที่มันเด่นชัดในปีนี้สำหรับบาร์เซโลน่านั่นก็คือ 'สถิติ' และ 'ข้อมูลรายละเอียด' ของ Pep's Team ในซีซั่นท์นี้ แน่นอนว่าพวกทีมเืลือดหมูน้ำเงินมีสถิติที่ดีขึ้นในหลายๆด้าน หากมองไปรอบตัวจะสังเกตุได้ว่ามีอะไรต่างๆดีขึ้นมากกว่าเดิม ถึงแม้ทีมชุดนี้จะยังเป็นที่ขัดใจแฟนบอลในบางตำแหน่ง หรือในนักเตะบางคนก็ตาม

นี่เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ลูกหนังสเปนที่มีทีมสโมสรทีมหนึ่งทำได้ถึง 99 คะแนน บาร์เซโลน่าลงเล่น 38 นัด เอาชนะไปทั้งสิ้น 31 แมตช์ เสมอ 6 และพ่ายแพ้เพียงแค่ 1 แมตช์นั่นก็คือการออกไปเยือนแอตเลติโก้ มาดริดในถิ่นบิเซนเต้ กัลเดร่อน

เป๊ป กวาร์ดิโอล่าทุบทำลายสถิติคะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสันเคยทำไว้ในฤดูกาล 1996/1997 ด้วยผลสิ้นสุดฤดูกาล 90 คะแนน ซึ่ง ณ ฤดูกาลนั้นทีมที่แข่งขันในลาลีกา สเปนมีทั้งหมด 22 ทีมด้วยกัน และถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ใช้ทีมแข่งขัน 22 ทีม ในฤดูกาลต่อมาได้มีการเปลี่ยนเป็น 20 ทีมจนถึงปัจจุบัน, และอีกหนึ่งสถิติที่สูงสุดตลอดกาลของฟาบิโอ คาเปลโล่ที่ทำไว้กับเรอัล มาดริดด้วยคะแนนสูงถึง 92 คะแนนในสมัยที่คุมบังเหียนราชันย์ ชุดขาวเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1996/1997 ซึ่งในปีนั้นก็เป็นบาร์ซ่าของเซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสันที่ได้ตำแหน่งรองแชมป์ด้วยคะแนน 90 คะแนน

ดังนั้นเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจึงเป็นโค้ชบาร์เซโลน่าที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งตลอดกาลของประวัติศาสตร์ สโมสร เป๊ปครองสถิติโค้ชที่ได้ถ้วยรางวัลกับบาร์เซโลน่าเยอะที่สุดในวาระการคุมทีม 2 ฤดูกาล และยัง 'เกือบ' ที่จะทำลายสถิติไร้พ่ายของท่านนายพลไรนุส มิเชลล์ได้ที่ยังคงสถิติไร้พ่ายในลาลีกา สเปน 27 แมตช์ติดต่อกัน ซึ่งเป๊ปก็เกือบทำได้ในฤดูกาลนี้หากไม่พลาดท่าแพ้ต่อทีมตราหมีแห่งกรุงมาดริดเสียก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตามสถิติของเป๊ปก็เป็นรองแค่ไรนุส มิเชลล์เพียงท่านเดียวเท่านั้น !

แต่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าก็ยังมีสถิติอย่างอื่นที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันมาทดแทนนั่นก็คือการคว้าชัยชนะทั้งหมด 31 แมตช์ในลาลีกาสเปน แน่นอนว่ามันเป็นสถิติที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ทีมเลือดหมูน้ำเงินและในการแข่งขันลีคสูงสุดของประเทศสเปนตั้งแต่เริ่มแข่งขันฟุตบอลลีคอย่างเป็นทางการ ซึ่งสถิติการคว้าชัยชนะ 31 แมตช์ของบาร์ซ่านี้ก็ครองร่วมกับเรอัล มาดริดซึ่งทำสถิติคว้าชัยชนะได้เท่ากันในปีนี้ และยังพ่วงด้วยสถิติคว้าชัยชนะเกมส์เยือนมากที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลลีค ด้วยชัยชนะ 13 แมตช์เทียบเท่ากับในฤดูกาลที่ผ่านมาดังนั้นจะถือว่าในจุดนี้เป๊ปทำได้เท่าตัวไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ซึ่งสถิตินี้ก็เป็นทั้งบาร์ซ่าและเรอัล มาดริดในชุดทีมกาลาติกอส 2 คว้าตำแหน่งร่วมกัน

http://img294.imageshack.us/img294/4529/valdesmarcazamora.jpg

บิคตอร์ บัลเดสผู้รักษาประตูมือหนึ่งของบาร์เซโลน่าคว้ารางวัลซาโมร่าติดต่อกันได้สองปีซ้อนเป็นครั้งแรก (รางวัลซาโมร่าคือรางวัลที่มอบให้ผู้รักษาประตูในลาลีกา สเปนที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีค) และก็เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่มีการแจกรางวัลปิชิชี่และซาโมร่าในปีค.ศ. 1929 ที่มีนักเตะในทีมบาร์เซโลน่าได้รางวัลปิชิชี่หรือดาวซัลโวลา ลีกาและรางวัลซาโมร่าร่วมกันในชุดทีมปีเดียวกัน

การคว้ารางวัลของบัลเดสในครั้งนี้ทำให้สถิติการคว้ารางวัลซาโมร่าของคู่แ้ค้นร่วมประเทศอย่างบาร์ซ่าและมาดริดนั้นเท่าเทียมกันแล้ว ทั้งสองทีมมีผู้รักษาประตูคว้ารางวัลซาโมร่าทั้งหมด 17 ครั้ง บัลเดสมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับบาร์ซ่า ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจ้าตัวเล่นได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นชุดใหญ่มา บัลเดสลงเล่นในถ้วยลาลีกาไปทั้งหมด 38 แมตช์เต็มเสียประตูไปเพียงแค่ 24 ประตูเท่านั้น ! หากคิดเป็น % นั้นเท่ากับว่าบัลเดสมีค่าเฉลี่ยโดนยิง 0.63 ประตูต่อ 1 เกมส์ สถิตินี้เป็นสถิติที่เจ้าตัวทำได้ดีที่สุดใน 3 ครั้งที่ได้รางวัลซาโมร่า อวอร์ด ครั้งแรกในปี 2004/2005 บัลเดสมีค่าเฉลี่ย 0.71 ประตูต่อ 1 เกมส์ และในปี 2008/2009 บัลเดสนั้นมีค่าเฉลี่ย 0.89 ต่อ 1 เกมส์

และอีกหนึ่งสถิติความภูมิใจของบิคตอร์ บัลเดสนั่นก็คือเค้าเป็นผู้รักษาประตูอันดับ 3 ของสโมสรที่ลงเล่นให้กับต้นสังกัดมากที่สุด อันดับ 1 นั้นได้แก่ผู้รักษาประตูชาวบาสก์ตำนานสโมสรอย่างอันโดนี่ ซูบีซาเรตต้าที่ลงเล่นไปทั้งสิ้น 301 แมตช์ อันดับ 2 นั้นคืออันโตนิโอ ลามัลเล็ตผู้รักษาประตูที่มีสายเลือดเป็นคนคาตาลันโดยกำเนิด ซึ่งลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่าไปทั้งสิ้น 288 แมตช์ ตั้งแค่ปีค.ศ. 1947-1962 ซึ่งบิคตอร์ บัลเดสได้รั้งอยู่ในอันดับ 3 ลงเล่นให้กับบาร์เซโลน่าไปทั้งหมด 263 แมตช์ ซึ่งผู้รักษาประตูที่รั้งอันดับ 3 ก่อนบัลเดสจะทำลายสถิติการลงเล่นนั่นก็คือซัลวาดอร์ ซาเดอร์นี่ผู้รักษาประตูสายเลือดคาตาลันเช่นเดียวกัน ซาเดอร์นี่เกิดที่เมืองทาราโกน่า ลงเล่นให้บาร์ซ่าตั้งแต่ปีค.ศ. 1961-1976 รวมทั้งหมด 15 ปี ซึ่งบัลเดสได้ทำลายสถิติของซาเดอร์นี่นับตั้งแต่ลงเล่นในแมตช์เกมส์เยือนแอตเลติโก มาดริดเป็นตนมาในฤดูกาลนี้

และแล้วก็ถึงบรรทัดสุดท้ายในบทความภาคแรกของ "คารวะ Pep's Team # 1" ขอให้ทุกคนสนุกกับบทความและเนื้อหาพบกันใหม่ใน "คารวะ Pep's Team # 2" เร็ววันนี้ครับ

ซลาตันกับพื้นที่หน้ากรอบเขตโทษที่หายไป !?

"The players need to look in the mirror" หนึ่งในประโยคเด็ดของคอลัมน์ 'El Periodico' ประจำสัปดาห์ของนสพ.แคว้นคาตาลุนญ่า จากผู้เขียนซึ่งเป็นตำนานชาวดัตช์และสาวกกูเล่อย่างโยฮัน ครอยฟ์

หลังเกมส์เยือนของบาร์เซโลน่าด้วยผลสกอร์เสมอ 2-2 กับทีมแคว้นอันดราลูเซียอย่าง 'อัลเมเรีย' โยฮัน ครอยฟ์ได้ร่ายคำกร่นด่าผ่านตัวหนังสือในคอลัมน์ของเขาเกี่ยวกับประเด็นความไม่เอาไหนของนักเตะบาร์ซ่า และฟอร์มโดยรวมของทีมที่ไม่พัฒนาเดินหน้าไปจากเดิมเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนเศษๆ ..

ใครคือนักเตะที่ควรส่องกระจกพิจารณาตัวเอง ? เชื่อว่าแฟนบอลบาร์ซ่า ณ ตอนนั้นคงตอบออกมาเต็มปากได้สองชื่อแต่ืชื่อที่ดังก้องออกมามากกว่าคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก 'ซลาตัน อิบราฮิโมวิช' มิใช่ 'เซอร์จิโอ บุสเก็ตส์' ที่เล่นได้ไม่สบอารมณ์แฟนบอลเช่นกัน

ประตูสุดท้ายที่ซลาตันทำได้ในแมตช์ที่บาร์เซโลน่าได้รับชัยชนะต้องย้อนกลับไปถึงในช่วงกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้วในศึก 'คาตาลุนญ่า ดาร์บี้' กับสโมสรเอสปัญยอล ซึ่งนั่นก็เป็นลูกจุดโทษที่ไม่ได้มาซึ่งความสามารถเฉพาะตัวหรือสูตรการเข้าทำด้วยระบบทีม

หลังจากนั้นประตูที่เกิดจากซลาตันอีกก็คือในแมตช์กับแอตเลติโก มาดริดซึ่งผลสุดท้ายบาร์เซโลน่าในช่วงที่กองหลังเข้าขั้นพิการนั้นก็ได้รับความปราชัยออกจากถิ่นบิเซนเต้ กัลเดร่อนไปพร้อมบทเรียนแสนสาหัส และฝันสลายกับการทำสถิติไร้พ่ายเหนือนายพลไรนุสท์ มิเชลล์ที่ทำได้ด้วยการคุมทัพบาร์เซโลน่าไร้พ่าย '27 แมตช์' ในลาลีกา สเปนซึ่งถือว่าเป็นสถิติสูงสุดของประวัติศาสตร์สโมสรเลือดหมูน้ำเงิน

http://img146.imageshack.us/img146/232/610x434.jpg

บาร์เซโลน่าเสียอันดับ 1 และใบแดงค่าโง่ของซลาตันในแมตช์กับอัลเมเรีย .. สิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เหนือผลเสมอก็คือฟอร์มของซลาตันที่ไม่กระเตื้องหรือเรียกได้ว่าแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก .. จุดเปลี่ยนของเกมส์คือใบแดง .. ซลาตันโดนโฆ่เซ่ มานูเอล ฟลอเรสหรือ 'ชิโค่' ประกบติดทุกฝีก้าวจนศูนย์หน้าชาวสวีดิชเกิดอาการเกรี้ยวกราดเล่นนอกเกมส์จนเสียใบแดงแบบไม่น่าเสีย

หากแต่ว่าบาร์ซ่าใช่จะเจอแต่ 'ด้านลบ' เสมอไป จริงอยู่ที่บาร์ซ่าเสียจ่าฝูงต่อเรอัล มาิดริดในช่วงท้ายของฤดูกาล จริงอยู่ที่ใบแดงของซลาตันอาจทำให้เขาเสียความมั่นใจและโดนคำกร่นด่าของแฟนๆถาโถมอย่า่งมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ฉุกคิดออกมาได้จากหีบความคิดเก่าๆในสมองก็คือ 'พื้นที่หน้ากรอบเขตโทษกลับมาหลังจากหอกสวีดิชออกจากสนาม'

ลีโอเนล เมสซี่ถูกโขยกมาเล่นหน้าเป้าด้วยความจำเป็นแต่ทว่าเมสซี่ก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ขาดหายไปของบาร์ซ่าในซีซั่นท์นี้คืออะไร .. ผนวกกับคำพูดของโยฮัน ครอยฟ์มันยิ่งคิดออกมาได้จริงๆว่าซลาตันคือบุคคลควรส่องกระจก และสิ่งที่ครอยฟ์ต้องการสื่อก็คือบาร์ซ่าชุดนี้แทบไม่มีการต่อบอลหน้ากรอบเขตโทษหรือการเล่นในไลน์เส้นตรงจากสนามเท่าที่ควร ..

ในแมตช์กับบาเลนเซียเมสซี่ได้เล่นในตำแหน่งที่อยู่ในส่วนกลางของสนามมิใช่การเล่นปีกริมเส้นแบบธรรมชาติทั่วไปอย่างที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ .. เมื่อในครึ่งหลังอองรีถูกส่ง .. สไตล์ของอองรีที่ทำได้ในแมตช์นี้มันสื่อว่าซลาตันยังคงมีประโยชน์กับบาร์ซ่า และเมสซี่กับการหุบเข้ามาเล่นในส่วนหน้ากรอบเขตโทษบ่อยๆเพื่อประสานงานกับกองหน้าคือ 'สิ่งที่ใช่' ของทีมเลือดหมูน้ำเงินในชุดปีนี้

หากชำแหละและวิเคราะห์จากทั้ง 3 ประตูของเมสซี่นั้นจะเห็นได้ว่าในประตูที่ 1 และ 3 บอลนั้นมาจากไลน์หน้ากรอบเขตโทษซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดหายไปพอสมควรก่อนหน้านี้ ซึ่งอองรีทำให้การเข้าทำแบบนี้สมดุลขึ้นเหนือซลาตัน ..

เจ้าของค่าตัวสถิติประวัติศาสตร์อันดับ 1 ของสโมสรมีความกดดันและค่าตัวค้ำคอ แต่ซลาตันควรที่จะพิสูจน์ตัวเองก่อนที่จะหมดฤดูกาล หากบาร์เซโลน่าคว้าน้ำเหลวในซีซั่นท์นี้แพะที่จะรับบาปก้อนนี้ไปคงหนีไม่พ้นศูนย์หน้าร่างโย่งรายนี้แน่นอน

http://img338.imageshack.us/img338/9643/lionelmessizlatanibrahi.jpg

การจากไปของ 'ซามูเอล เอโต้' ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้บาร์ซ่าเกิดอาการวิกฤติในพื้นที่ตำแหน่งของศูนย์หน้าตัวเป้า แต่ทัศนคติและสไตล์การเล่นของซลาตันในบางอย่างต่างหากที่ควรจะเปลี่ยนแปลงและปรับอย่างโดยเร็ว ..

อองรีใช้ความเก๋าในการครองบอลดึงจังหวะเพื่อต่อบอลกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างดี อองรีสามารถเล่นในตำแหน่งหน้าเป้าเพื่อเข้ากับมิติใหม่ของบาร์ซ่าได้อย่างดีในแมตช์ที่ผ่านมากับไอ้ค้างคาว แล้วซลาตันล่ะเขาด้อยกว่าอย่างไร ? ผลงานผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูทั้งหมด 8 ครั้งมันด้อยกว่าผลงาน 1 แมตช์ของอองรีที่แอสซิสไป 2 ครั้งหรืออย่างไร ?

ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า .. ใช่ครับ .. ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าในยูนิฟอร์มเลือดหมูน้ำเงิน อองรีรู้จังหวะในการเล่นของบอลสเปน การยืนในไลน์ต่ำเพื่อเข้ามาเก็บบอลและชิ่งต่อจังหวะให้เพื่อนของอองรีทำได้เพอร์เฟค รวมถึงการผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูที่ยอดเยี่ยม + กับสิ่งที่เป็นประเด็นก็คืออองรีสามารถครองบอลและเล่นในพื้นที่หน้ากรอบเขตโทษได้อย่างดีเยี่ยม

ผมเชื่อลึกๆว่าด้วยฝีเท้าระดับซลาตันขนาดนี้ คงไม่ยากสำหรับการปรับทัศนคติในการเล่นกับระบบบาร์ซ่าสักนิดหน่อย + กับการศึกษาจังหวะบอลสเปนและการกล้าเล่นกล้าเสี่ยงให้มากกว่านี้ หาใช่การยืนเป็นทุ่นไร้วิญญาณในแดนหน้า

จุดเริ่มจากใบแดงของ 'Ibracadabra' ตามด้วยประโยชน์จากเมสซี่ที่ทำให้เห็นจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปอย่างเห็นได้ชัด ถัดมากับคำวิจารณ์ของครอยฟ์ในคอลัมน์ของเจ้าตัว อีกหนึ่งแมตช์กับไอ้ค้างคาวที่อองรีและเมสซี่สามารถคลิกกันได้อย่างลงตัว .. และล่าสุดกับศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีคที่เมสซี่ได้ตอกย้ำอีกครั้งว่าพื้นที่หน้ากรอบของบาร์ซ่าคือปัญหาในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลจนถึงแมตช์กับอัลเมเรีย !

ท้ายที่สุดคงสรุปได้ว่าหากซลาตันยังไม่สามารถทำได้อย่างที่มันควรจะเป็นตามแผนการเล่นที่น่าจะเป็นแล้วล่ะก็ งานนี้ได้เห็นเจ้าของค่าตัวเยอะสุดของประวัติศาสตร์ล้มหลวนั่งสำรองเด็กปั้นอย่างเปโดรหรือโบยานเป็นแน่แท้ !!!

พลิกโผ พลิกแผน แต่ไม่สิ้นประสิทธิภาพ !!

สื่อคาตาลัน 2 ค่ายใหญ่ทั้ง 'เอล มุนโด้ เดปอร์ติโว' และ 'สปอร์ต' ต่างตีข่าวกันครึกโครมกันก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในประเด็นที่ว่า 'บาร์เซโลน่าหมุมโคจรกลับมาสนใจในตัวดาวิด บีญ่า !'

สโมสรเลือดหมูน้ำเงินในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ปี 09 ได้ประกาศชัดเจนถึงเป้าหมายของตน .. ดาวิด บีญ่าศูนย์หน้าท็อป 3 ของโลกของไอ้ค้างคาว บาเลนเซียเป็นเป้าหมายแรกของโจเซป กวาร์ดิโอล่า

ในขณะที่บาเลนเซียยังมีปัญหาเรื่องระบบการเงินของทีม + กับวงเงินราวๆ 40 ล้านปอนด์ที่บาร์ซ่าพร้อมทุ่ม .. เรื่องราวทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหา แต่แล้วในที่สุดการเจรจาก็ถูกล้มโต๊ะไป ..

'มานูเอล ญอเลนเต้' ท่านประธานของสโมสรได้ประกาศย้ำชัดหลังยกเลิกการขายดาวิด บีญ่าให้กับบาร์ซ่าเสียงแข็งว่า "พวกเราไม่ต้องการขายดาวิด บีญ่าให้กับใคร เขาเป็นนักเตะของพวกเราและผมเชื่อว่าบีญ่าจะอยู่ที่นี่และสร้างสรรค์ผลงานยอดเยี่ยมให้กับทีมกลับสู่ความยิ่งใหญ่" ประโยคเหล่านี้ทำให้สาวก 'ลอส เช' ต้องเห็นด้วยเป็นแท้แน่ที่สุดถึงแม้สโมสรจะมีปัญหาเพียงไรก็ตาม

แต่ ณ วันนี้ในปี 2010 เวลาผ่านมาร่วม 7 เดือน สื่อต่างๆก็ได้ประโคมข่าวกันยกใหญ่ในประเด็นของบีญ่าและหนึ่งในนั้นที่ผู้เขียนอย่างจะนั่งวิเคราะห์ก็คือ 'บาร์ซ่ากับบีญ่าในยุคที่มีซลาตัน !'

คอมเม้นท์ทั้งเวปไซต์ในไทยและต่างประเทศมีคำถามข้างต้นแทบทุกเวปไซต์คอลูกหนัง .. ถ้าหากการมาของ 'El Guaje' วัย 28 ปีเกิดขึ้นจริงจะทำให้สารบบของทีมอาซูลกราน่าตอนนี้ต้องพินาศจริงหรือเปล่า ? แล้วใครล่ะจะต้องจากไป ? ฯลฯ คำถามมากมายชวนคิดเหล่านี้น่าสนใจอย่างปฏิเสธไม่ได้ นับล่างต่อจากบรรทัดนี้ไปก็ขอให้แฟนบาร์ซ่าคนหนึ่งได้วิเคราะห์ในมุมที่มันจะเป็นไปได้บ้างเถอะ !


http://img269.imageshack.us/img269/6922/presidentevalenciamanue.jpg

ตอนที่ 1 : " ตำแหน่งของบีญ่าในกระดานหมากแทคติกของบาร์เซโลน่า "

ปีก หรือ กองหน้า .. บ้างก็บอกว่าบีญ่าสามารถเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายที่ดูเหมือนจะเป็นจุดบกพร่องของทีมบาร์ซ่า ณ ตอนนี้ .. บ้างก็แทรกขึ้นมาว่าหากบีญ่ามาจริงก็ควรที่จะเล่นในตำแหน่งหน้าเป้าแทนซลาตันมันซะเลย ! (ด้วยฟอร์มการเล่นของซลาตันตอนนี้ย่อมเข้าใจได้กับคำพูดของประโยคข้างหลัง)

เสียงสุดท้ายเอ่ยขึ้นมาแบบไม่มั่นใจ 'แล้วทำไมเราไม่จับสองคนนี้เล่นด้วยกันซะให้สิ้นเรื่อง ?' .. น่าสนใจกับคอมเมนท์นี้และมันควรมาตีแผ่วิเคราะห์ให้สนุกสมอง

ดาวิด บีญ่าเป็นนักเตะที่มีความเร็วคล่องตัวและสามารถครองบอลได้ดี .. และยังพ่วงด้วยการทำสกอร์ที่เฉียบขาด และยังสามารถเล่นในตำแหน่งหน้าต่ำได้แบบชนิดที่เรียกได้ว่า 'เยี่ยม' ผลงานในทีมชาติคงการันตีได้

ซลาตัน อิบราฮิโมวิชก็เช่นเดียวกันการครองบอลที่ดีกับจังหวะทำสกอร์ที่ไว้ใจได้ มีความแข็งแกร่งและสปีดที่ไม่ช้าเหมือนกองหน้าร่างสูงใหญ่ทั่วไปในยุโรป ซลาตันสามารถเล่นในตำแหน่งหน้าต่ำหรือหน้าเป้าก็ได้หากดูจากสไตล์การเล่น ... หากซลาตันถูกลดตำแหน่งการยืนให้ต่ำลงไปเป็นหน้าต่ำ แฟนๆก็คงจะหายกลุ้มกับการเสี่ยงล้ำหน้าในแต่ละแมตช์ที่กำลังเป็นอยู่ !

หากจับทั้งคู่เล่นด้วยกันอะไรจะเกิดขึ้นตามมา แผนการเล่นจะบิดเบี้ยวกลายสภาพเป็นอย่างไร แน่นอนว่าที่นี่มีคำตอบ .. '4-2-2-2' อาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่เราต้องการนำเสนอ !

http://img4.imageshack.us/img4/8821/soccerfield0sl3.png

ตอนที่ 2 : " 4-2-2-2 "

แผนการเล่นที่ (น่าจะ) เหมาะและสมดุลที่สุดสำหรับการมาของบีญ่า .. อย่าแปลกใจที่คุณไม่เห็นสตาร์เบอร์ 14 ของทีมอย่างเธียร์รี่ อองรี ด้วยอายุที่เยอะ, ฟอร์มการเล่นที่ร่วงลง และการประสบความสำเร็จแบบล้นเอ่อเต็มที่กับบาร์ซ่า คงไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าอดีตกองหน้าอาเซนอลจะจากบาร์ซ่าไปจริงรึเปล่า แต่ตอนนี้ความเป็นไปได้ก็น่าจะเกิน 70 % เข้าไปแล้ว

การเสริมบีญ่าและปรับระบบทีมเป็นในรูปแบบนี้ทำให้เราสามารถเลือกการเสริมตัวทางปีกเป็นสองรูปแบบคือ 'การซื้อสตาร์' เช่น ริเบรี่ และดาวิด ซิลบาที่กำลังเป็นข่าวรายวัน ... แต่ก็มีไม่น้อยคนที่มีจิตใจรักอยากเห็นเด็กปั้นจากลา มาเซียขึ้นสู่ชุดใหญ่และโชว์สไตล์การเล่นในแบบฉบับคาตาลัน

"ยิงทีเดียวได้นกสองตัว" การมาของบีญ่าทำให้บาร์ซ่าสามารถเลือกที่จะเซฟเด็กปั้นอย่างเจฟเฟรน และเปโดรให้มีทางเลือกที่มั่นคงกับการอยู่ในทีม .. ระบบปีกที่ไม่แตกต่างจากแบบแผนเดิม ผนวกกับการเข้ามาของบีญ่าที่น่าจะทำให้เกมส์รุกนั้นจัดจ้านขึ้นกว่าเดิม .. เรียกได้ว่าแผนนี้น่าจะโดนใจใครหลายๆคนเข้าให้บ้างแล้วล่ะ (มั้ง) ?

อิเนียสต้าถูกขยับไปประจำการในตำแหน่งปีกที่ตัวเองถนัดถนี่กับการเล่น .. ชาบี้มีอิสระในการออกบอลทั้งสี่ทิศ ถึงแม้การผ่านบอล 'คิลเลอร์พาส' น่าจะดูลดลงไปแต่การประสานงานของคู่กองหน้าและผลประตูที่อาจจะมากขึ้นน่าจะตบรางวัลเข้ามาทดแทน

นักเตะเบอร์ 1 ของโลกคนปัจจุบันอย่างเมสซี่ยังดูไร้ซึ่งปัญหากับตำแหน่งที่ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก .. หากแต่ว่าการทำสกอร์อาจจะน้อยลงด้วยพื้นที่ในกรอบเขตโทษอาจจะไม่มากนักสำหรับการสอดแทรก แต่ทว่าในพื้นที่ในตรงกลางสนามยังเปิดกว้างสำหรับอิสระของเมสซี่

เชดูร์ เกต้าอาจนั่งชอบใจเมื่อแผนกองกลางนั้นดูเหมือนจะเป็นสไตล์ถนัดกับยุคเซบีญ่า .. มิดฟิลด์มาลีปรับตัวกับบาร์ซ่าได้อย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์และดูเหมือนแผนการนี้จะทำให้เกต้ามีพื้นที่ในการเล่นและรีดฟอร์มออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รวมไปถึงในยามฉุกเฉินหากชาบี้ เฮอร์นานเดสบาดเจ็บ เกต้าก็คงเล่นร่วมกับยาย่า ตูเร่หรือเซอร์กี้ บุสเกตส์อย่างไม่เคอะเขิน

ยาย่ากับเซอร์กี้อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นตามจำนวนมิดฟิลด์ที่ลดน้อยลง .. พื้นที่เปิดมากขึ้นสำหรับยาย่า .. การเลี้ยงบอลทำเกมส์เสี่ยงยิงไกลแถวสองอาจมีมากขึ้นให้เห็น การผ่านบอลอาจจำต้องรับภาระหนักกว่าเดิมแต่ด้วยผู้เล่นที่อยู่ในตำแหน่งรายล้อมเป็นรูปวงกลมก็น่าจะทำให้ผู้เล่นในตำแหน่ง 'มิดฟิลด์ตัวรับ' ไม่ต้องเคร่งเครียดกับการจ่ายบอลในจังหวะถูกบีบ

เซอร์กี้ บุสเกตส์กับแผนนี้คงเป็น + ด้วยสไตล์ที่เน้นการผ่านบอลแบบ 'ถึงเท้า' ของเจ้าตัวแล้วน่าจะดูไม่มีปัญหามากสักเท่าไหร่ บุสเกต์เป็นยังไม่สามารถโชว์การผ่านบอลคิลเลอร์พาสให้เห็น ดังนั้นกับภาระในแบบแผนนี้ก็คงทำให้เจ้าตัวคลายความกดดันที่ถูกมองว่าเป็น 'นิว กวาร์ดิโอล่า' ออกไปได้ .. เพราะเพียงแค่ตัดเกมส์ให้อยู่หมัดและจ่ายบอลสวนกลับให้ไม่พลาด แค่นี้ก็ดูไร้บกพร่องแล้ว !

ด้วยเหตุนี้จากการวิเคราะห์ข้างต้นแล้วน่าจะบ่งบอกได้แล้วว่าหากบาร์ซ่าเสริมทัพเพียงแค่ดาวิด บีญ่าเพียงคนเดียวลงในตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงก็จะสามารถบั่นทอนค่าใช้จ่ายให้กับนักเตะอื่นๆได้มากโข และยังสามารถเก็บเด็กปั้นจากลา มาเซียอย่างเปโดร เจฟเฟรน และโบยานให้อยู่กับทีมได้ต่อไป

http://img64.imageshack.us/img64/695/59d112c4d9cf.jpg

ตอนที่ 3 "Save Money Save My Family"

หากตั้งค่าตัวบีญ่าไว้สุดกู่ที่ประมาณ 35 ล้านปอนด์ (ขอไว้ครึ่งทาง) มันก็คงจะบอกว่าได้คุ้มกว่าการเสริมทัพด้วยการซื้อนักเตะคนใดคนหนึ่งระหว่างริเบรี่ หรือซิลบา ..

คุ้มในที่นี้หมายถึงหากบาร์ซ่าไม่เสริมเติมแต่งในตำแหน่งปีก .. แน่นอนว่านักเตะอย่างเจฟเฟรนและเปโดรก็คงจะอยู่กับทีมต่อไปด้วยความหวัง และคงมีโอกาสมากขึ้นกับการโชว์ฝีเท้าให้สาวกกูเล่ได้ประจักษ์กันมากขึ้นกว่าเดิม คงเป็นความสุขของชาวคาตาลันที่เห็นเด็กปั้นของทีมอยู่กับต้นสังกัดต่อไปและได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ

หากการมาของบีญ่าพร้อมกับแผน "4-2-2-2" จากข้างต้นนั่นทำให้ตำแหน่งกองหน้าย่อมเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับโบยาน เกอร์คิซดาวรุ่งสัญชาติสแปนิชวัย 19 ปี

จากแผนการเสริมทีมของเป๊ปก่อนหน้านี้ทั้ง 4 ตำแหน่งอาจลดหลั่นเหลือแค่ 3 .. มิดฟิลด์กับปีกตัดทิ้งลงขยะไป เขียนใหม่เป็นกองหน้า, แบคขวาสำรอง และ ผู้รักษาประตูสำรอง ..

สนนราคาบีญ่าไว้ 35 ล้านปอนด์ แบคขวาสำรองหากไม่เน้นดาราก็คงเต็มที่ด้วยราคา 5 ล้านปอนด์ และในตำแหน่งผู้รักษาประตูต้องรอดูกับอนาคตของปินโต้ว่าจะต่อสัญญาหรือไม่ ถึงแม้นคนใหม่จะเข้ามาทดแทนแต่ราคาก็คงไม่เวอร์เป็นแน่แท้ .. เห็นไหมละ ว่ามันเซฟทั้งเงิน เซฟทั้งผู้เล่นจากอคาเดมี่ !!

ตอนที่ 4 (ตอนสุดท้าย) : "บทสรุปของความฝัน"

ตามการวิเคราะห์ในหน้ากระดาษนี้ยาวลงมาจนถึงบรรทัดที่ท่านกำลังอ่าน .. แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ยากถึงยากมากที่จะเกิดขึ้นจริงตามคำวิเคราะห์สำหรับสโมสรบาร์เซโลน่า

แผน 4-3-3 ถูกใช้มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโททัล ฟุตบอลของนายพลไรนุส มิเชลล์และถูกถ่ายทอดสานต่อกันมาอย่างยาวนานจนมีคำจำกัดความของมันว่า 'บาร์เซโลน่า DNA'

ระบบรากฐานตั้งแต่ทีมชุดใหญ่ของสโมสร รวมถึงชุดเยาชวน และทุกๆรุ่นของบาร์เซโลน่าก็ต่างใช้แผน 4-3-3 นี้กันทั้งหมดทั้งมวล

'4-2-2-2' คือการต่อยอดความคิดจากข่าวของบีญ่าและความเป็นไปได้ต่างๆที่มันก็น่าจะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นอยู่บ้าง !?

ถึงแม้ความคิดการเสริมบีญ่าแค่ในตำแหน่งตัวจริงเพียงคนเดียวและปรับสไตล์การเล่นอาจจะ 'พลิกโผ'

ถึงแม้ว่าการวาดภาพเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะลองหันมานึกจัดหมากแผนการเล่นใหม่เป็น 4-2-2-2 ในฤดูกาลหน้านี้จะ 'พลิกแผน'

แต่หากมองโดยภาพรวมต่างๆ และสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นหากความฝันนี้เป็นจริง 'ประสิทธิภาพ' ของทีมบาร์เซโลน่าก็คงจะไม่สิ้นหายไปอย่างแน่นอน !!

เด็กปั้นบาร์ซ่า # 1

ช่วงนี้ที่ซิดนีย์ก็ใกล้เข้าหน้าร้อน เต็มตัวแล้ว ... ที่ไทยก็กำลังอยู่ในช่วงหน้าหนาวที่แสนสบาย .. พูดแล้วก็คิดถึงเมืองไทยขึ้นมาจับจิตกว่าจะเรียนจบก็อีกยาว ช่วงนี้ก็นั่งรอจดหมายใจจดใจจ่อว่าจะได้เข้าเรียนดนตรีตามฝันรึเปล่า ?! เฮ้อช่วงนี้ปัญหามันสับสนวุ่นวายไปหมดจนไม่มีเวลามาพักผ่อนเขียนคอลัมน์สบายๆ

วันนี้เลยขอมาในรูปแบบที่อ่านง่ายๆสบายๆ .. จั่วหัวข้อว่า "เด็กปั้นบาร์ซ่า" แน่นอนว่าวันนี้ก็คงไม่มีการวิเคราะห์และวิจารณ์อะไรใดๆให้มึนหัวปวดตับกัน น่ะครับ แต่จะมาแนะนำเด็กปั้นของสโมสรบาร์ซ่าที่น่าจับตามองในอนาคต แต่ !? วันนี้ก็จะขอนำเสนอนักเตะวัยกระเตาะที่มีความน่าสนใจในประวัติและชื่อเสียงนำหน้าสักหน่อย .. ประมาณว่าฝีเท้าอย่าเพิ่งไปสนใจแค่ประวัติและรายละเอียดส่วนตัวก็น่าสนใจมากโขแล้ว !!

หลายๆคนคงรู้ดีนะครับว่าบาร์ซ่านั้นเป็นทีมที่เน้นเด็กในศูนย์ฝึกของตัวเองเป็นทีมที่มีแมวมองหาเด็กที่มีฝีเท้าดีและน่าสนใจทั้งในสเปนและทั่วโลกเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกที่ชื่อว่า 'La Masia' (ลา มาเซีย) เพื่อเข้ามาฝึกฝนฟุตบอลและเรียนรู้ทฤษฏีต่างๆเกี่ยวกับฟุตบอลในแบบฉบับเลือดหมูน้ำเงิน ...

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็จะขอแนะนำนักเตะเด็กปั้นบาร์ซ่าที่น่าสนใจทั้ง 3 คนเลยก็แล้วกันครับ !

http://img251.imageshack.us/img251/3892/51874263.jpg

1 # : Joshua Angoy Cruyff

แค่เห็นชื่อก็ต้องเกิดคำถามแรกแล้ว 'นักเตะผู้นี้เกี่ยวข้องอันใดกับโยฮัน ครอยฟ์ ?' เกี่ยวแน่นอน .. แต่อย่านึกว่าเป็นลูกนะครับ ! เพราะลูกชายของแกชื่อ Jordi Cryuff ในอดีตเคยอยู่ทั้งบาร์ซ่าและแมนฯยูไนเต็ด ..

โจชูว์เป็นลูกชายของ "ชานทาล" ซึ่งเธอก็คือลูกสาวของโยฮัน ครอยฟ์นั่นเอง ...

ตำแหน่งของของโจชูว์คือแบคซ้าย แน่นอนว่าแตกต่างจากลุงและปู่ของเขาอย่างสิ้นเชิงเพราะทั้งสองนั้นเล่นใน ตำแหน่งตัวรุกทั้งคู่ ..และหลานของอดีตตำนานบาร์ซ่าก็ได้ลงสนามในสีเสื้อเลือดหมูน้ำเงินเป็นที่ เรียบร้อยแล้วในชุดเยาวชนทีม B หรือ 'Juvenil B'

โดยในแมตช์นั้นโจชูว์ได้ลงสู่เกมส์ในช่วงก่อนหมดเวลา 10 นาทีสุดท้ายและจบเกมส์บาร์เซโลน่าก็เอาชนะบาร์กวน มาทาโร่ไปด้วยสกอร์ 3-0

http://img692.imageshack.us/img692/6752/sveinnq.jpg

2 # : Sveinn Gudjohnsen

สเวน กุ๊ดยอนเซ่นคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของอดีตเบอร์ 7 บาร์ซ่าอย่างไอเดอร์ กุ๊ดยอนเซ่น ..ซึ่งในปัจจุบันผู้เป็นพ่อค้าแข้งอยู่ในสโมสรโมนาโก, ฝรั่งเศส

มีข่าวลือหนาหูพอสมควรหลังจากกุ๊ดยอน เซ่นตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในลี คเอิง .. ในประเด็นที่ว่าสเวนจะยังอยู่กับบาร์ซ่าต่อไปหรือไม่ ? .. ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ได้ทราบดีแล้วว่าสเวนนั้นยังคงอยู่ที่บาร์เซโลน่าและยังเป็นหนึ่ง ในเด็กปั้นบาร์ซ่า

หลายครั้งในแมตช์ที่ผ่านๆมาเราจะเห็น กุ๊ดยอนเซ่นเข้ามาชมเกมส์ในรังคัม ป์ นูบ่อยๆ ลูกชายของเขาอาจเป็นคำตอบไขข้อข้องใจหลายๆท่านได้ว่าทำไมเห็นเฮียกุ๊ดกลับมา สเปนบ่อยจังละเนี่ย !

สเวนในวัย 12-13 ขวบเล่นอยู่ในทีม Benjamin B ของบาร์เซโลน่าในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ .. ซึ่งแฟนบอลชาวคาตาลันบางรายถึงกับพูดสรรพคุณของมิดฟิลด์ตัวน้อยรายนี้ไว้ว่า 'เขาคือทายาทของต่อจากตูเร่ และบุสเกตส์ เด็กคนนี้จะต้องเล่นกับบาร์ซ่าได้อย่างยอดเยี่ยมแน่ๆ !!'

สเวนเป็นเจเนเรชั่นทีสามในตระกูล 'Gudjohnsen' ต่อจาก Arnor Gudjohnsen และ Eidur Gudjohnsen

http://img101.imageshack.us/img101/5505/etock.jpg

3 # : Gael Etock

หากจะถามคำถามว่า 'ใครคือนิวเอโต้ ?' และถ้าคุณต้องการคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ณ ตอนนี้เรามีให้แน่นอน ..

กาเอล เอต๊อกวัย 15 ปีเล่นอยู่ในทีมเยาวชวน (Juvenil) ของสโมสรบาร์เซโลน่าในปัจจุบัน โดยเอต๊อกได้เล่นนัดแรกกับสโมสรบาร์เซโลน่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์เมื่อต้นปี ที่ผ่านมาร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่มีอายุมากกว่าตัวเขา 2-3 ปีด้วยกัน .. และในแมตช์เปิดตัวเอต๊อกก็สามารถทำประตูให้ทีมคว้าชัยชนะมาได้ !!

แน่นอนว่าศูนย์หน้าวัย 15 ปีผู้นี้มีเชื้อสายแคเมอรูนเช่นเดียวกับอดีตรุ่นพี่ในสโมสรอย่าง 'ซามูเอล เอโต้'

คุณสมบัติของเอต๊อกนั้นคล้ายคลึงกับเอโต้แทบจะทุกอย่าง .. เขามีร่างกายที่แข็งแกร่งและสูงใหญ่, มีความสามารถในการหาตำแหน่งทำประตูได้อย่างยอดเยี่ยม และแน่นอนว่าเขาได้รับความคาดหวังว่าจะก้าวมาเล่นในตำแหน่งเดียวกับรุ่นพี่อย่างเอโต้และน่าจะทำได้ดีไม่แพ้กัน !

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วคัดด้วยเหตุผมความน่าสนใจมาก่อนฝีเท้าครับ .. ซึ่งฝีเท้าของทั้งสามคนโดยแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครทราบได้ 100% .. แต่เื่ชื่อเหลือเกินว่าทั้งสามคนนี้จะพัฒนาฝีเท้าไปทีละขั้นๆ .. และขึ้นมาถึงจุดสูงสุดในการลงเล่นชุดใหญ่ให้กับสโมสรบาร์เซโลน่าได้ ..

ก็หวังว่าอีกสัก 5-6 ปีก็น่าจะได้ชมฝีเท้ากันให้ได้เป็นที่ประจักษ์กันทั่วโลกน่ะขอรับ

DMF พลัส 2010

"DMF พลัส 2010" คืออะไร ?! หลายๆคนเห็นหัวข้อแล้วนึกสงสัย ..เอ๊ะ.. นี่มันรหัสลับอะไร ..

ไม่มีอะไรในกอไผ่มากเท่าไหร่ความหมายของหัวข้อและประเด็นคอลัมน์นี้ก็เกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ในฤดูกาลนี้ของมิดฟิลด์ตัวรับบาร์เซโลน่านั่นเอง ..

มองจากผิวนอกอาจดูเหมือนว่าสไตล์การเล่นในตำแหน่งนี้อาจจะดู 'ไม่แตกต่าง' จากฤดูกาลที่แล้ว แต่รายละเอียดเพียงหยิบมือก็พอมีให้เห็นและเป็นจุดประเด็นในการถกเถียงว่า 'เวิร์ค' หรือไม่ ?

การมีส่วมร่วมกับเกมส์ดูเบาบางลงไปพอสมควร .. แต่งานหนักที่เข้ามาทดแทนที่คือการอ่านเกมส์ให้ขาดและในเกมส์รับก็มีภาระให้ดูแลตลอด 90 นาทีในชนิดที่เรียกว่า "สมาธิ no.1"

จากการมองดูสไตล์นี้แล้วไม่สงสัยเลยว่าทำไม ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ มิดฟิลด์ตัวรับ 100% ของลิเวอร์พูลจึงเป็นเป้าสายตาอันดับหนึ่งในการเสริมทัพของโจเซป กวาร์ดิโอล่าตลอดเวลา ..ทั้งๆที่นักเตะอย่าง 'โพลเซ่น' ที่ผู้เขียนเฝ้าหวังก็เพียงพอแล้วสำหรับการทดแทน..

http://img402.imageshack.us/img402/5057/toure.jpg

First Movement : "Replace"

หน้าที่นี้จะเห็นกันได้ทุกแมตช์ตามเวลาสเปนช่วงเวลาแข่งขันของบาร์เซโลน่า (ก็แหงสิ !) ...

การทำหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นเมื่อคู่เซนเตอร์คนใดคนหนึ่งของบาร์เซโลน่าได้บอล .. และทำการเลี้ยงกินแดนหาช่องเพื่อทำเกมส์หรือผ่านบอลให้ในแดนหน้า .. โดยมิดฟิลด์ตัวรับจะถอยหลังลงไป 'ทดแทน' ในตำแหน่งไลน์ของเซนเตอร์โดยเรียกว่าบางครั้งลงไปต่ำกว่าเซนเตอร์เสียอีก ..

หน้าที่นี้เปิดทางสำหรับการขึ้นเกมส์ของเซนเตอร์ที่บ้าเลี้ยงอย่างปูโยลและปิเก้ ..และอีกหนึ่งทางก็คือพื้นที่และการเปิดบอลยาวของราฟาเอล มาเกวซ

ข้อดีคือกองหลังเมื่อเสียบอลจะไม่รู้สึกกดดันมากนักเพราะมิดฟิลด์ที่ถอยลงไปอยู่ในไลน์ของตัวเองพร้อมที่จะรับมือกับการสวนกลับทุกเวลา ..เมื่อดูจากข้อดีตรงนี้หากมองดูและชั่งน้ำหนักความสามารถในเชิงเกมส์รับของมาสเคราโน่ และยาย่า ตูเร่มาชั่งเพื่อวัดผล ..จะเห็นได้ว่าหน้าที่นี้ก็ทำให้มาสเคราโน่ดูสมเหตุสมผลต่อประโยชน์ของหน้าที่เหนือยาย่า ตูเร่ทันที !

ข้อเสียล่ะมีไหม ? มีแน่นอนอยู่แล้ว .. สำหรับตัวยาย่า ตูเร่เองจะต้องรับข้อเสียนี้ไปเต็มๆ เมื่อบทบาทในการต่อบอลและเสริมเกมส์รุกนั้นดูเจือจางลงไป ทำให้ยาย่า ตูเร่นี่เน้นเกมส์รุกนั้นดูด้อยลงไปทันทีในแผนการเล่น ยิ่งต้องรับภาระในเกมส์รับมากกว่า 70% ขึ้นไปแล้วมันจึงไม่แปลกนักที่เซอร์จิโอ บุสเกสต์จะดูดีกว่ายาย่าที่ชอบขึ้นไลน์สูงเล่นเกมส์รุก

ดังนั้นในข้อนี้มันก็สมเหตุสมผลหากเป๊ป กวาร์ดิโอล่าจะสนใจในตัวมาสเคราโน่อย่างจริงจัง !

http://www.bangkok-today.com/files/imagecache/W400/images/2009/07/20/article-1499--45-2max.jpg

Second Movement : " Left side make me sad "

ในหัวข้อนี้อย่าสงสัยว่าเป็นบทบาทใหม่ของมิดฟิลด์ตัวรับ .. แต่เป็นคำบ่นพรรณนาของยาย่า ตูเร่และเซอร์จิโอ บุสเกสต์ต่างห่างล่ะ !

พื้นที่ในฝั่งซ้ายของบาร์เซโลน่าปีนี้ถึงแม้จะขาดเธียร์รี่ อองรีที่ฟอร์มตกและเจ็บออดๆแอดๆไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมนั้นดูด้อยลงไปซะทีเดียว .. เมื่อเป๊ป กวาร์ิดิโอล่าจัดแจงให้เซร์ดู เกต้าเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้ายและให้อิสระกับพื้นที่มากมายเหลือเกินทั้งเกมส์รุกที่ดันสุดตัวและเกมส์รับที่พอจะช่วยแบ่งเบาภาระจากยาย่า ตูเร่ได้อยู่

พื้นที่ของเกต้าและไลน์การยืนของอิเนียสต้าทำให้ยาย่า ตูเร่หมดสิทธิ์ในการต่อบอลและสร้างสรรค์ในเกมส์รุกเลยทีเดียว ..

อิเนียสต้าอยู่ในไลน์ที่ไม่สูงเท่าการยืนของอองรีแต่พื้นที่การเล่นนั้นอิเนียสต้าใช้ได้อย่างมีประโยชน์ทั่วทุกทิศทาง + กับการประสานงานที่เข้มข้นกับเกต้าทำให้ยาย่า ตูเร่มีหน้าที่อย่างเดียวคือดักบอลที่เสียจากบริเวณกลางสนาม วิ่งดักจังหวะสุดท้ายและส่งบอลแบบง่ายๆกลับสู่กระบวนการเกมส์รุกนั่นเอง ..

หากวันใดแบคซ้ายเป็นอบิดัล ยาย่าคงยิ้มแก้มปริ แต่ถ้าแม๊กซ์เวลลงมาเมื่อไหร่ .. ยาย่าก็แทบจะต้องไปนั่งร้องไห้ซิกๆคนเดียวในห้องน้ำก่อนลงเตะเลยทีเดียว

อบิดัลการเล่นคงที่ในไลน์เส้นตรงทางซ้ายและแน่นอนพื้นที่ก็ย่อมเปิดให้ยาย่าเบียดไปมีส่วนรวมในการสวนเกมส์บ้างและเล่นได้กว้างขึ้น ..แต่สำหรับแม๊กซ์เวลนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเภทเดียวกับอิเนียสต้าที่ใช้พื้นที่ได้กว้างขวางและมีประโยชน์ต่อตัวเองมาก ..

แม๊กซ์เวลเด่นเรื่องการต่อบอลมันก็ไม่แปลกที่แบคซ้ายบราซิเลียนคนนี้จะหุบเข้าตรงกลางทำชิ่งบอลและสวนเกมส์รุกขึ้นไป ..

ยาย่า ตูเร่เอ๋ย .. แม๊กซ์เวลกำลังฟอร์มเปรี้ยงขนาดนี้ก็เตรียมทิชชู่ไว้ซับน้ำตาก่อนลงสนามเยอะๆล่ะ

http://3.bp.blogspot.com/_B1JtfOpd85I/Sa6Y3bnhB0I/AAAAAAAAKBg/gncKi8JNNS0/s400/0+yaya+toure+barcelona.jpg

Last Movement : " P&R Machine "

P&R Machine ชื่อเหมือนจะดูดี .. แต่มันก็คือ Passing and Running Machine นั่นเอง ..

เรียกได้ว่าแทบจะเป็นจุดที่บอกว่าทำให้เกมส์รับบาร์ซ่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมาสัก 10% ก็พอพูดได้อยู่.. โดยหากอีกฝ่ายตั้งเกมส์และครองบอลมาถึงกลางสนาม จะเห็นได้ชัดว่ายาย่า ตูเร่จะวิ่งพุ่งแทรกชาบี้และเกต้าเข้ามาบีบและกดดันพื้นที่การเล่นของอีกฝ่ายทันที ..

ซึ่งคุณจะเห็นยาย่าวิ่งแบบนี้ทั้งเกมส์โดยไม่ต้องไปสังเกตุว่าจะทำการสกัดแย่งบอลได้สักกี่ครั้ง ? เพราะมันน้อยมาก ..แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องชะงักและเสียสมดุลการเล่นไป แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ในส่วนของการผ่านบอลนั้นหากดูในเกมส์การเล่นผิวเผินเหมือนแทบจะไม่มีอะไรทีเป็นทีเด็ด ซึ่งก็บอกตามตรงว่าเป็นความจริง ..แต่ภาระหน้าที่นี่มิดฟิลด์ตัวรับจะเป็นทุ่นในแดนกลาง เพื่อเป็นแกนในการเล่นชิ่งเปลี่ยนทิศทางบอลและหนีตัวประกบของอีกฝ่าย ..โดยรวมทั้งสิ้น 90% จะเป็นการเล่นแบบ "short pass"

ด้วยองค์ประกอบการเน้นถอยไลน์เกมส์รับลงไปอยู่ในแดนหลัง ผนวกกับการใช้คู่เซนเตอร์ในการออกบอลยาวและสั้นทำให้การผ่านบอลของมิดฟิลด์ตัวรับนั้นหายไป โดยที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพียงการเป็นทุ่นชิ่งบอลเท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของโจเซป กวาร์ดิโอล่านั้นน่าชื่นชม ..ฟังดูเหมือนแย่แต่ในภาพรวมของเกมส์การแข่งขันแล้วมันก็ออกมาใน 'เชิงบวก' แต่ถ้าหากจับจุดดีๆก็จะมีคำถามเกิดขึ้นว่า "สไตล์แบบนี้ทำไว้เพื่อรอมาสเคราโน่มิดฟิลด์คนโปรดเลยหรือเปล่า ?"

คำตอบคือเป็นไปได้ครับ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด .. สไตล์การเล่นเอื้อให้มาสเคราโน่อย่างโดยแท้จริง..

แต่.. ยาย่า ตูเร่และบุสเกสต์ก็ยังไม่ผิดพลาดแล้วใยเล่าถึงจะต้องหาผู้เล่นคนใหม่มาด้วย !?

Back to Home Back to Top OAKK's COLUMN. Theme ligneous by pure-essence.net. Bloggerized by Chica Blogger.